วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

พุทธวจน-กรรมเก่า กรรมใหม่ เข้าใจเรื่องกรรมอย่างไรจึงจะหลุดพ้นได้?



#กรรมเป็นธาตุตามธรรมชาติ

https://www.youtube.com/watch?v=JkobUAptcOg&feature=youtu.be

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ

ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น

-

เราอาศัยอะไรกล่าว ..

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม

บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

-

ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือ..

ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม

-

ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือ..

กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี

ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี

ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี

ที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี

ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี

นี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม

-

ก็วิบากแห่งกรรมเป็นไฉน คือ

เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี ๓ ประการ คือ ..

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน ๑

กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด ๑

กรรมที่ให้ผลในภพต่อๆ ไป ๑

นี้เรียกว่าวิบากแห่งกรรม

-

ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ ..

ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ

-

อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ..

สัมมาทิฐิ ฯลฯสัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม

---

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดกรรม

เหตุเกิดแห่งกรรม

ความต่างแห่งกรรม

วิบากแห่งกรรม

ความดับแห่งกรรม

ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรมอย่างนี้ๆ

--

เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งความชำแรกกิเลส

เป็นที่ดับกรรมนี้ ข้อที่เรากล่าวว่า



ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เธอทั้งหลายพึงทราบกรรมฯลฯ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม ดังนี้นั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าว ฯ

-----

๙. นิพเพธิกสูตร

--

กรรม คืออะไร

พระศาสดาทรงตรัสว่า กรรม เป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ

นิยามของคำว่ากรรม ที่พระศาสดาทรงบัญญัติ คือ เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม





กรรมอันบุคคลเจตนาแล้วย่อมกระทำด้วย กาย วาจา ใจ (ดังนั้นกรรมทางใด ที่กระทำโดยไม่เจตนา ย่อมไม่มี)

เหตุเป็นแดนเกิดของกรรม คือ ผัสสะ และความดับแห่งกรรม คือ การดับแห่งผัสสะ

[ผัสสะ (สัมผัส) อาศัยตาด้วย ๑ อาศัยรูปด้วย ๑ จึงเกิด จักขุวิญญาณ ๑ (เป็นต้น)

การถึงพร้อมด้วยธรรม ๓ ประการนี้ จึงเรียกว่า จักขุสัมผัส หรือ ผัสสะทางตา (เป็นต้น)]

วิญญาณ ๖ อันได้แก่

จักขุวิญญาณ(รู้แจ้งทางตา)

โสตวิญญาณ(รู้แจ้งทางหู)

ฆานะวิญญาณ(รู้แจ้งทางจมูก)

ชิวหาวิญญาณ(รู้แจ้งทางลิ้น)

กายวิญญาณ(รู้แจ้งทางสัมผัสทางกาย)

มโนวิญญาณ(รู้แจ้งทางธรรมารมณ์-เวทนา สัญญา สังขาร)

วิญญาณใดนี้ ย่อมมีที่ตั้งอาศัย

การจะบัญญัติซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ของวิญญาณใดๆ

โดยเว้นจาก รูป(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส), เวทนา,สัญญา,สังขาร นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

วิญญาณ(ใด)  อาศัยรูปตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้

เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์

มีรูปเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัย มีนันทิ(ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ

ก็ถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ได้

(สิ่งที่วิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย พระศาสดาทรงเรียกสิ่งนั้นว่า ภพ คือ สถานที่เกิดของวิญญาณ หรือ อารมณ์ เป็นที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร รวมเรียกภพเหล่านี้ว่า นามรูป เมื่อวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยในภพแล้ว กล่าวว่า ความมีภพได้เกิดขึ้น(ตอนที่วิญญาณยังไม่ได้เข้าไปตั้งอาศัย ภพ ก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ก็เรียกว่า สถานที่เกิดของวิญญาณ เท่านั้น แต่พอวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ ก็เรียกบัญญัติใหม่ว่า ความมีภพได้เกิดขึ้น)

นั้นคือวิญญาณที่ตั้งอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้มีอยู่ในที่ใดๆ

การก้าวลงแห่งนามรูป(รูป เวทนา สัญญา สังขาร)ก็มีอยู่ในที่นั้นๆ

(วิญญาณย่อมตั้งอาศัยในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเมื่อมีความน้อมไปหาภพ(ใด)แล้ว)

เมื่อการก้าวลงแห่งนามรูป มีอยู่ในที่ใด การเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น

การเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไปย่อมมี



เมื่อบุคคลคิดถึงสิ่งใดอยู่(เจตนา) ดำริถึงสิ่งใดอยู่

และมีใจฝังลงไปในสิ่งใดอยู่

สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่ของวิญญาณ

เมื่อวิญญาณตั้งขึ้นเฉพาะแล้ว การก้าวลงสู่ภพย่อมมี





พระศาสดาทรงอุปมา

เมล็ดพืช เปรียบเหมือน วิญญาณ

ผืนนา เปรียบเหมือนภพ

น้ำเปรียบเหมือนนันทิและราคะ

เมื่อเมล็ดพืชตกลงไปบนผืนนา

เปรียบเหมือนวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยในภพ

เมล็ดพืชย่อมถึงความเจริญงอกงามได้ด้วยน้ำ

เปรียบเหมือนวิญญาณเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ด้วยความกำหนัดและความเพลิน



ส่วนอีกอุปมาหนึ่ง เมล็ดพืช เปรียบเหมือนวิญญาณ

เนื้อนาเปรียบเหมือน กรรม

ยางในเมล็ดพืชเปรียบเหมือนตัณหา

เมล็ดพืชตกลงไปบนเนื้อนา

เปรียบได้กับวิญญาณตั้งอาศัยอยู่ในกรรม

เมล็ดพืชถึงความเจริญงามไพบูลย์ได้ด้วยยางในเมล็ดพืช

เปรียบเหมือนกับตัณหาเป็นเชื้อแห่งการเกิดขึ้น(ใหม่) ชื่อว่าความมีภพเกิดขึ้น

ดังนั้น กรรม อันเป็นที่ตั้งอยู่ของวิญญาณ ก็คือ ภพ อันเป็นที่ที่วิญญาณตั้งอาศัยอยู่ได้ (กรรม = ภพ)



เช่น ตาไปเห็นรูป วิญญาณทางตาเข้าไปเกลือกกลั้วอยู่ในรูป อันเป็นวิสัยที่จะพึงรู้แจ้งได้ด้วยตาแล้ว กล่าวว่า

วิญญาณอาศัยรูปตั้งอยู่ รูปคือภพของวิญญาณ และ การเกิดขึ้นใหม่ของภพ ชื่อว่ากรรม(ใหม่)ได้เกิดขึ้น





กรรม นั้นแบ่งได้เป็น

กรรมเก่า อันได้แก่ ตา หุ จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นกรรมเก่า

เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งได้ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้

กรรมใหม่ อันได้แก่ ผัสสะ เป็นเหตุเกิดของกรรมใหม่

การประจวบพร้อมด้วยองค์ ๓ นี้เรียกว่า ผัสสะ เช่น

ตา ไป เห็น รูป หากจักขุวิญญาณ(เข้าไปตั้งอาศัย) เข้าไปเกลือกกลั้วอยู่ในรูป

อันเป็นวิสัยที่จะรู้ได้ด้วยตาแล้ว ผัสสะทางตาย่อมถึงการเกิดขึ้น



(มีกรณีที่ ตา มอง รูป แต่ วิญญาณ( จิต หรือ มโน) ไม่ได้เข้าไปอยู่ในคลองแห่งจักขุ

ผัสสะย่อมไม่เกิด การหมายรู้ทางตาไม่มี(ขาดจักขุวิญญาณ) จึงไม่ถึงการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๓ )



เพราะมีผัสสะ จึงเกิดเวทนา

เพราะมีเวทนา จึงมีตัณหา

เพราะมีตัณหา จึงมีอุปาทาน

เพราะมีอุปาทาน จึงมีภพ (กรรม)

เพราะมีภพ ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมี

ดังนั้น การปรากฏแห่งวิญญาณ(ใด) มีใดที่ใด

ชื่อว่าการปรากฏแห่งภพ (กรรม) ชาติ ชรา มรณะ ย่อมมีในที่นั้น



ความดับไปแห่งกรรม มีได้เพราะความดับไปแห่งผัสสะ



พิจารณาการเกิดขึ้นแห่งผัสสะอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพย่อมมีเพราะ

อาศัยการน้อมไปแห่งวิญญาณ

ด้วยอาศัยตัณหานี้ใด อันทำความเกิดใหม่ให้เป็นปกติ

เป็นไปกันกับด้วยความกำหนัด(ราคะ) เพราความเพลิน(นันทิ) มักเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์ (ภพ-กรรม)

นี้เป็นเครื่องเข้าไปตั้งอาศัย เครื่องถึงทับ เป็นอนุสัยแห่งจิต

ที่เข้าไปมีอยู่ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร อันเป็นภพ(กรรม) ของจิต(วิญญาณ)



หากจะดับกรรม คือ ภพอันทำความเกิดใหม่

ก็ต้องดับที่ผัสสะ คือเหตุเกิดของกรรม



เธอย่อมกระจายเสียให้ถูกวิธี

พระศาสดาจึงทรงให้กระจายเสียซึ่งผัสสะ

ให้พิจารณาเห็นถึงองค์ประกอบทั้ง ๓ นั้น

อาศัยกันและกันในการเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์(ดับลงไปได้) ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง

สิ่งที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเป็นผัสสะเป็นของที่ไม่เที่ยง

แล้วผัสสะจะเป็นของเที่ยงแต่ไหน

และสิ่งที่เป็นผลตามมาจากผัสสะเป็นปัจจัยก็ย่อมเป็นของไม่เที่ยง



มรรควิธี

ดังนั้นการพิจาณาสิ่งที่ประจวบกันพร้อมเป็นผัสสะ(ได้แก่ สังขารทั้งหลาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนนั้น

จะต้องเป็นผู้ที่เห็นซึ่งอริยสัจ ๔ คือ

เห็นการเกิดขึ้น และดับไปของสังขารทั้งหลาย เช่น

เห็นความเกิดและดับของ

ในจักษุ

ในจักขุวิญญาณ

ในธรรมที่รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ



เมื่อเห็นตรงตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้ว จึงพิจารณาเห็น

จักษุ

จักขุวิญญาณ

และธรรมที่รู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณว่า

นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ปฏิปทานี้เป็นความดับไม่เหลือซึ่งสักกายะ(คืออุปาทานในขันธ์ทั้งหลาย)

เพราะความสิ้นไปแห่งความเพลิน จึงมีความสิ้นไปแห่งอุปาทาน



เมื่อเห็นด้วยปัญญา ตรงตามที่เป็นจริงอยู่อย่างนี้แล้ว

ขันธ์ ธาตุ  อายตนะ มีอยู่ประมารเท่าไร

ย่อมไม่มั่นหมายซึ่ง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ นั้น

ย่อมไม่มั่นหมายใน ขันธ์ ธาตุอายตนะนั้น

ย่อมไม่มั่นหมายโดยความเป็น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ นั้น

และย่อมไม่มั่นหมาย ขันธ์ ธาตุ อายตนะนั้น ว่าของเรา

นี้เป็นปฏิปทาเพื่อเพิกถอนความมั่นหมายในสิ่งทั้งปวง



เมื่อ ราคะ ที่มีอยู่ใน รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์  อันบุคคลละได้แล้ว

วิญญาณย่อมไม่มีที่ตั้งอาศัย ก็ไม่เจริญงอกงาม

ดับลงไปได้เพราะไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง

เมื่อวิญญาณไม่มีอยุ่ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปย่อมดับไปในที่นั้น

ที่ใดที่ไม่มีวิญญาณและนามรูป ที่นั้นคือความดับไม่เหลือแห่งสังขารทั้งหลาย

เป็นความดับไปไม่เหลือแห่งทุกข์

จะป่วยกล่าวไปใยถึงการดับแห่งกรรม

---

‪#‎มิจฉาทิฏฐิเรื่องกรรม‬ ๔

‪#‎คติที่ไปของผู้มีมิจฉาทิฏฐิ‬ คือ นรก กำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน

‪#‎แก้กรรมด้วยมรรคแปดเท่านั้น‬

กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล

กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากตัวเองบันดาล

กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นและตนเองบันดาล

กรรมและสุขทุกข์ ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆโดยปราศจากเหตุผล

**

นิทานสัมภวะ(แดนเกิด)แห่งกรรมทั้งหลายเกิด จากผัสสะ

และกัมมนิโรธ(ความดับกรรม)แห่งกรรมทั้งหลาย

ย่อมมีเพราะความดับไปแห่งผัสสะ

**

ภิกษุโมลิยผัคคุนะ ได้ทูลถามขึ้นว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า?"

นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย

เราย่อมไม่กล่าวว่า "บุคคลย่อมสัมผัส" ดังนี้

ถ้าเราได้กล่าวว่า "บุคคล ย่อมสัมผัส" ดังนี้

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้

ที่ควรถามขึ้นว่า "ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า?" ดังนี้

ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น

ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า

"ผัสสะมี เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย พระเจ้าข้า?" ดังนี้แล้ว

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา

คำ เฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า

"เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทน า (ความ รู้สึกต่ออารมณ์)" ดังนี้

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ พระเจ้าข้า?"

นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย

เราย่อมไม่กล่าวว่า "บุคคลย่อมรู้สึกต่ออารมณ์" ดังนี้

ถ้าเราได้กล่าวว่า "บุคคลย่อมรู้สึกต่ออารมณ์" ดังนี้

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้

ที่ควรถามขึ้นว่า "ก็ใครเล่า ย่อมรู้สึกต่ออารมณ์ พระเจ้าข้า?"ดังนี้

ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น

ถ้าผู้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า

"เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีเวทนาพระเจ้าข้า?" ดังนี้แล้ว

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหา ที่ควรแก่ความเป็นปัญหา

คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า

"เพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา

เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณ หา (ความอยาก)" ดังนี้

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมอยาก พระเจ้าข้า?"

นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย

ย่อมไม่กล่าวว่า "บุคคลย่อมอยาก" ดังนี้

หากเราได้กล่าวว่า "บุคลลย่อมอยาก" ดังนี้

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า

"ก็ใครเล่า ย่อมอยาก พระเจ้าข้า?" ดังนี้

ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น

ถ้าผุ้ใดจะพึงถามเรา ผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า

"เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา พระเจ้าข้า?" ดังนี้แล้ว

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา

คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า

"เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน (ความยึดมั่น)" ดังนี้

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า?"

นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย

เราย่อมไม่กล่าวว่า "บุคคลย่อมยึดมั่น" ดังนี้

ถ้าเราได้กล่าวว่า "บุคคลย่อมยึดมั่น" ดังนี้

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ ที่ควรถามขึ้นว่า

"ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า?" ดังนี้ ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น

ถ้าผู้ใดจะพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า

"เพราะมีอะไรเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน พระเจ้าข้า?" ดังนี้แล้ว

นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา

คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า

"เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ " ดังนี้

เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย

ชรา มรณ ะ โสกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย

จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้

.

.

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

หน้าที่ ๑๑/๒๘๘ ข้อที่ ๓๑-๓๗

..

http://etipitaka.com/read…#

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น