วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กรรมเก่าของพระอรหันต์





#รับวิบากกรรมในชาตินี้ ดีกว่า #ตกนรก
#พระองคุลิมาลบรรลุพระอรหัต
[๕๓๒] ครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล 
หลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว 
เป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่นานนัก 
ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด พรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตต้องการ 
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่ 
ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว 
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว 
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี ดังนี้. 
-
ก็ท่านพระองคุลิมาล
ได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง
ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
--
[๕๓๓] ครั้งนั้น เวลาเช้า 
ท่านพระองคุลิมาลนุ่งแล้ว 
ถือบาตรและจีวร เข้าไป
บิณฑบาตในพระนครสาวัตถี. 
ก็เวลานั้นก้อนดิน ... ท่อนไม้ ... 
ก้อนกรวดที่บุคคลขว้างไป
แม้โดยทางอื่น
ก็มาตกลงที่กายของท่านพระองคุลิมาล 
ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก 
โลหิตไหล
บาตรก็แตก 
ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด 
-
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ. 
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตร
ท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล 
ครั้นแล้วได้ตรัส
กะท่านพระองคุลิมาลว่า 
-
เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ 
เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ 
เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุ 
จะให้เธอพึงหมกไหม้อยู่ในนรก
ตลอดปีเป็นอันมาก 
ตลอดร้อยปีเป็นอันมาก 
ตลอดพันปีเป็นอันมาก
ในปัจจุบันนี้เท่านั้น.
-
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
หน้าที่ ๓๖๕/๕๑๘ ข้อที่ ๕๓๒-๕๓๓
http://etipitaka.com/read?keywords=องคุลีมาล++บิณฑบาต&language=thai&number=358&volume=13#
https://www.youtube.com/watch?v=5k2Hm77dIVc

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ภูเขาเวปุลล" พุทธวจน



"ภูเขาเวปุลล" พุทธวจน ถ่ายทอดคำตถาคต โดย พอจ.คึกฤทธิ์
https://youtu.be/VmPw0XjjMw0
เวปุลลปัพพตสูตร
[๔๕๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังนี้ ฯ
[๔๕๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพตนี้ได้ชื่อว่า ปาจีนวังสะสมัยนั้นแล หมู่มนุษย์ได้ชื่อว่า ติวรา หมู่มนุษย์ชื่อติวรา มีอายุประมาณสี่หมื่นปีหมู่มนุษย์ชื่อติวราขึ้นปาจีนวังสบรรพตเป็นเวลา ๔ วัน ลงก็เป็นเวลา ๔ วัน สมัยพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธ มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าวิธูระ และสัญชีวะ ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแล อันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นกระทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้วสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัดพอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อว่าวงกฏ สมัยนั้นแล
หมู่มนุษย์มีชื่อว่า โรหิตัสสะ มีอายุประมาณสามหมื่นปีมนุษย์ชื่อว่าโรหิตัสสะขึ้นวงกฏบรรพตเป็นเวลา ๓ วัน ลงก็เป็นเวลา ๓ วันสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมนะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าภิยโยสและอุตตระ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นทำกาละไปแล้วและพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพตนี้มีชื่อว่าสุปัสสะ สมัยนั้น
แล หมู่มนุษย์มีชื่อว่าสุปปิยา หมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยามีอายุประมาณสองหมื่นปี หมู่มนุษย์ที่ชื่อว่าสุปปิยาขึ้นสุปัสสบรรพต เป็นเวลา ๒ วัน ลงก็เป็นเวลา ๒ วัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป ได้มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าติสสและภารทวาชะดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้วมนุษย์เหล่านั้นกระทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บัดนี้แล ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อเวปุลละทีเดียว ก็บัดนี้
หมู่มนุษย์เหล่านี้มีชื่อว่ามาคธ หมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธมีอายุน้อย นิดหน่อย ผู้ใดมีชีวิตอยู่นานผู้นั้นมีอายุเพียงร้อยปี น้อยกว่าก็มี เกินกว่าก็มี หมู่มนุษย์ชื่อมาคธขึ้นเวปุลลบรรพตเพียงครู่เดียว ลงก็เพียงครู่เดียว และบัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็เราแลมีสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะดูกรภิกษุทั้งหลาย ชื่อแห่งบรรพตนี้จักอันตรธาน หมู่มนุษย์เหล่านี้จักทำกาละ และเราก็จักปรินิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๖๑] พระผู้มีพระภาค ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึง
ตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่าปาจีนวังสบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อติวระ วงกฏบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อโรหิตัสสะ สุปัสสบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยาและเวปุลลบรรพต
ของหมู่มนุษย์ชื่อมาคธะ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นแลเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับไปเป็นสุข ดังนี้ ฯ
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

"โทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในมี ๑๐ ประการ" พุทธวจน



"โทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในมี ๑๐ ประการ" พุทธวจน ถ่ายทอดคำตถาคต โดย พอจ.คึกฤทธิ์
https://youtu.be/pvFsdgEXcyk
ปเวสนสูตร
[๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในมี ๑๐ ประการ ๑๐
ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาในโลกนี้ประทับอยู่กับพระมเหสี ภิกษุเข้าไปในที่นั้น พระมเหสีเห็นภิกษุนั้นแล้วย่อมทรงยิ้มแย้มหรือภิกษุเห็นพระมเหสีแล้วยิ้มแย้มก็ดีพระราชาก็จักทรงสงสัยในอาการนั้นอย่างนี้ว่า คนทั้ง ๒ นี้คงได้ทำแล้ว หรือจักทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปสู่พระราชวังชั้นในข้อที่ ๑ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชาทรงมีกิจมาก มีกรณียมาก เสด็จไปหาหญิงคนใดคนหนึ่งแล้ว
ทรงระลึกไม่ได้ หญิงนั้นย่อมตั้งครรภ์ด้วยพระราชานั้นพระราชาก็จักทรงสงสัยในการตั้งครรภ์นั้นอย่างนี้ว่า เว้นบรรพชิตแล้ว ใครๆ อื่นไม่เข้ามาในพระราชวังชั้นในนี้ กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๒ ฯ
อีกประการหนึ่ง รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่งในพระราชวังชั้นในหายไปพระราชาก็จักทรง
สงสัยในการที่รัตนะหายไปนั้นอย่างนี้ว่า เว้นบรรพชิตแล้วใครๆ อื่นไม่เข้ามาในพระราชวังชั้นในนี้กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๓ ฯ
อีกประการหนึ่ง เรื่องลับอันเป็นภายในในพระราชวังชั้นในแพร่งพรายออกภายนอก
พระราชาก็จะทรงสงสัยในการที่เรื่องลับแพร่งพรายออกภายนอกนั้นอย่างนี้ว่า เว้นบรรพชิตแล้วใครๆ อื่นไม่เข้ามาในพระราชวังชั้นในนี้ กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๔ ฯ
อีกประการหนึ่ง ในพระราชวังชั้นใน บิดาย่อมปรารถนาเพื่อจะฆ่าบุตรหรือบุตรย่อม
ปรารถนาเพื่อจะฆ่าบิดา คนทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นจะสงสัยอย่างนี้ว่าเว้นบรรพชิตแล้ว ใครๆ อื่นไม่
เข้ามาในพระราชวังชั้นในนี้ กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๕ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชาย่อมทรงตั้งบุคคลผู้ควรแก่ตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง คน
ทั้งหลายไม่พอใจการแต่งตั้งนั้น จะมีความสงสัยอย่างนี้ว่าพระราชาทรงคลุกคลีด้วยบรรพชิตกรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๖ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชาย่อมทรงตั้งบุคคลผู้ควรแก่ตำแหน่งสูงไว้ในตำแหน่งต่ำ คน
ทั้งหลายไม่พอใจการแต่งตั้งนั้น จะมีความสงสัยอย่างนี้ว่าพระราชาทรงคลุกคลีด้วยบรรพชิตกรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๗ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชาย่อมทรงส่งกองทัพไปในกาลอันไม่ควร คนทั้งหลายไม่พอใจในการที่ส่งกองทัพไปนั้น จะมีความสงสัยอย่างนี้ว่า พระราชาทรงคลุกคลีด้วยบรรพชิต กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๘ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชาทรงส่งกองทัพไปในกาลอันควร แล้วรับสั่งให้กลับเสียใน
ระหว่างทาง คนทั้งหลายไม่พอใจการให้กองทัพกลับเสียในระหว่างทางนั้น จะมีความสงสัยอย่างนี้ว่า พระราชาทรงคลุกคลีด้วยบรรพชิต กรรมนี้จะพึงเป็นกรรมของบรรพชิตกระมังหนอดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๙ ฯ
อีกประการหนึ่ง พระราชวังชั้นในเป็นที่คับคั่งด้วยช้าง คับคั่งด้วยม้าคับคั่งด้วยรถ มีรูป
เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ซึ่งเป็นของไม่สมควรแก่บรรพชิตดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นในข้อที่ ๑๐ ดูกรภิกษุทั้งหลายโทษในการเข้าไปในพระราชวังชั้นใน ๑๐ ประการนี้แล ฯ
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๔
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เสียงอ่านพระสูตรสำหรับผู้เจ็บไข้ ใกล้เสียชีวิต


พุทธวจน : เสียงอ่าน..พระสูตร..สำหรับผู้เจ็บไข้ ใกล้เสียชีวิต



#พระสูตรสำหรับผู้ป่วย‪ 
#‎ศรแห่งความโศก‬ ‪#‎ฐานะ๕ประการ‬
---
link ;; พระสูตร อานิสงส์ฟังธรรมก่อนตาย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1592996564265214&set=a.1410079375890268.1073741828.100006646566764&type=3&hc_location=ufi
---
link ;; เสียงอ่านหนังสือ พุทธวจน อานาปานสติ
https://www.youtube.com/watch?v=JDzh1ZZQKAw
--
https://www.youtube.com/watch?v=U25frAuYPW8
๘. ฐานสูตร
[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ 
อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร
พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ ๕ ประการเป็นไฉน 
คือฐานะว่า
• ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าแก่ ๑
• ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าเจ็บไข้ ๑
• ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา[ของเรา] อย่าตาย ๑ 
• ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าสิ้นไป ๑
• ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าฉิบหาย ๑
-
อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม 
หรือใครๆ ในโลกไม่พึงได้ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา 
ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมแก่ไป 
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว 
เขาย่อมไม่เห็นดังนี้ว่า
● ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น แก่ไป 
โดยที่แท้
สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป 
การจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น 
ส่วนเราเอง 
ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว 
พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไรทุบอก คร่ำครวญ 
หลงงมงาย 
-
แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน 
แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม 
แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก 
แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ 
แม้พวกมิตรพึงเสียใจ 
-
ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว 
เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ 
หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ 
ถูกลูกศร คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว 
ย่อมทำตนให้เดือดร้อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง 
-
● สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
● สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมตายไป ...
● สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
● สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป
-
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา ฉิบหายไปแล้ว 
เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า 
ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น
ฉิบหายไป โดยที่แท้ 
สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง 
ที่มีการมาการไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น 
ส่วนเราเอง 
ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว 
พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก 
คร่ำครวญหลงงมงาย 
-
แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน 
แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม
แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก 
แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ 
แม้พวกมิตรพึงเสียใจ 
-
ดังนี้เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว
เขาย่อมเศร้าโศก ลำบากร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ 
หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับถูกลูกศร
คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน
• ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ส่วนว่าสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา 
ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป 
เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว 
อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า 
ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นแก่ไป
โดยที่แท้ สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา 
ของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา 
การไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น 
ส่วนเราเอง 
ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว 
พึงเศร้าโศกลำบาก ร่ำไร ทุบอก 
คร่ำครวญ หลงงมงาย 
-
แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน 
แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม 
แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก 
แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ 
แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ 
-
ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา 
แก่ไปแล้วอริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก 
ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก คร่ำครวญ 
ไม่หลงงมงาย นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร 
คือ ความโศกที่มีพิษเป็นเครื่องเสียบแทง
ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ ทำตนให้เดือดร้อน 
อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร 
ย่อมดับทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง
-
• ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง
สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...
• สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป...
• สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...
• สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป 
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว
อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นว่า
ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นฉิบหายไป โดยที่แท้สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง 
ที่มีการมา การไปการจุติการอุปบัติ 
ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น ส่วนเราเอง 
ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว 
พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก 
คร่ำครวญ หลงงมงาย 
-
แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน 
แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม
แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก 
แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ 
แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ 
ดังนี้
-
เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว 
อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศกไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร 
ไม่ทุบอก คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย 
นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร 
คือ ความโศกที่มีพิษ อันเป็นเครื่องเสียบแทง
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำให้เดือดร้อน 
อริยสาวกผู้ไม่มีความโศกปราศจากลูกศร 
ย่อมดับความทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล
-
อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม 
หรือใครๆในโลกไม่พึงได้ ฯ
ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้ 
อันใครๆ ย่อมไม่ได้เพราะการเศร้าโศก
เพราะการคร่ำครวญ พวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศก 
เป็นทุกข์ ย่อมดีใจ ก็คราวใด บัณฑิตผู้พิจารณารู้เนื้อความ 
ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด คราวนั้น 
พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปรกติของบัณฑิตนั้น 
ยิ้มแย้มตามเคยย่อมเป็นทุกข์ 
บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยประการใดๆ
-
เพราะการสรรเสริญ 
เพราะความรู้ 
เพราะกล่าวคำสุภาษิต 
เพราะการบำเพ็ญทาน 
หรือเพราะประเพณีของตนก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ 
ด้วยประการนั้นๆ 
ถ้าพึงทราบว่าความต้องการอย่างนี้อันเรา
หรือผู้อื่นไม่พึงได้ไซร้
ก็ไม่ควรเศร้าโศก 
ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่
ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๘
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๔๘/๔๐๗ ข้อที่ ๔๘
••••••••••••••••••
‪#‎สังสารวัฏ‬..น้ำตา..น้ำในมหาสมุทรทั้ง 4
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ 
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน 
น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา 
คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ 
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ 
กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔
สิ่งไหนจะมากกว่ากัน ฯ
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
พวกข้าพระองค์ ย่อมทราบธรรมตามที่พระ
ผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า 
น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกข้าพระองค์ 
ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ 
เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ 
โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า 
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ฯ
[๔๒๖] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้
ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ 
ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ
โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย 
พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน
น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น 
ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ 
เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ 
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า 
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย 
พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ... 
ของพี่ชายน้องชาย พี่สาว
น้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... 
ความเสื่อมแห่งญาติ ...ความเสื่อมแห่งโภคะ ... 
ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน 
น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น 
ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค 
คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ 
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า 
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร 
เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ก็เหตุเพียงเท่านี้ 
พอทีเดียว
เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง 
พอเพื่อจะคลายกำหนัดพอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
หน้าที่ ๑๗๘/๒๘๘ ข้อที่ ๔๒๔-๔๒๖
http://etipitaka.com/read
--------------------
พระสูตรที่สาม..
‪#‎เพราะไม่รู้อริยสัจ‬ จึงต้องแล่นไปในสังสารวัฏ
ภิกษุ ท. ! เพราะไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจสี่อย่าง, เราและ
พวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนาน
ถึงเพียงนี้. ภิกษุ ท. ! อริยสัจสี่อย่าง เหล่าไหนเล่า ? ภิกษุ ท. ! เพราะ
ไม่รู้ถึง ไม่แทงตลอดซึ่งอริยสัจคือทุกข์, อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์, อริยสัจคือ
ความดับไม่เหลือของทุกข์ และอริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของ
ทุกข์ ; เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาล
ยืดยาวนานถึงเพียงนี้.
; ดังนี้.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๑/๑๖๙๘.
--------------------
พระสูตรที่สี่
อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์
จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะได้
ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์จะหวัง
เอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับ
เป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลยดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะ
ที่มีได้ เป็นได้.
มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒, มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓.
สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่
ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต
ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน
ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.
เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว
ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ
ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้น
วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว
เราจักละพวกเธอไป
สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้ว
ภิกษุ ท. ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี
มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี
ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด
ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.
------------------------
‪#‎พระสูตรที่ห้า‬
ภิกษุทั้งหลาย ! เราแล เป็นผู้ฉลาดในเรื่องโลกนี้ 
ฉลาดในเรื่อง โลกอื่น, เป็นผู้ฉลาดต่อวัฏฏะ
อันเป็นที่อยู่ของมาร ฉลาดต่อ วิวัฏฏะอันไม่เป็นที่อยู่ของมาร,
เป็นผู้ฉลาดต่อ วัฏฏะอันเป็นที่อยู่ของมฤตยู
ฉลาดต่อ วิวัฏฏะอันไม่เป็นที่อยู่ของมฤตยู.
ชนเหล่าใดถือว่าเรื่องนี้ควรฟังควรเชื่อ
ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
แก่ชนทั้งหลายเหล่านั้นสิ้นกาลนาน.
ทั้งโลกนี้แลโลกอื่น ตถาคตผู้ทราบดีอยู่
ได้ประกาศไว้ชัดแจ้งแล้ว. ทั้งที่ที่มารไปไม่ถึง
และที่ที่มฤตยูไปไม่ถึง ตถาคตผู้รู้ชัดเข้าใจชัด
ได้ประกาศไว้ชัดแจ้งแล้ว เพราะความรู้โลกทั้งปวง.
ประตูนครแห่งความไม่ตาย ตถาคตเปิดโล่งไว้แล้ว
เพื่อสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงถิ่นอันเกษม.
กระแสแห่งมารผู้มีบาป ตถาคตปิดกั้นเสียแล้ว กำจัดเสียแล้ว
ทำให้หมดพิษสงแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มากมูมด้วยปราโมทย์
ปรารถนาธรรมอันเกษมจากโยคะเถิด.
-บาลี มู.ม. ๑๒/๔๒๑/๓๙๑.
-------------------------- ---------------------------------

พุทธวจนเพื่อความสิ้นทุกข์ดับไม่เหลือ



‪#‎ศรแห่งความโศก‬

‪#‎ฐานะ๕ประการ‬

https://www.youtube.com/watch?v=U25frAuYPW8

๘. ฐานสูตร

[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร

พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ ๕ ประการเป็นไฉน

คือฐานะว่า

• ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าแก่ ๑

• ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าเจ็บไข้ ๑

• ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา[ของเรา] อย่าตาย ๑

• ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าสิ้นไป ๑

• ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าฉิบหาย ๑

-

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม

หรือใครๆ ในโลกไม่พึงได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมแก่ไป

เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

เขาย่อมไม่เห็นดังนี้ว่า

● ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น แก่ไป

โดยที่แท้

สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป

การจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไรทุบอก คร่ำครวญ

หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรพึงเสียใจ

-

ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ

หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ถูกลูกศร คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว

ย่อมทำตนให้เดือดร้อน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง

-

● สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...

● สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมตายไป ...

● สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...

● สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป

-

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา ฉิบหายไปแล้ว

เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น

ฉิบหายไป โดยที่แท้

สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง

ที่มีการมาการไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญหลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรพึงเสียใจ

-

ดังนี้เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

เขาย่อมเศร้าโศก ลำบากร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ

หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับถูกลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน

• ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ส่วนว่าสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป

เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นแก่ไป

โดยที่แท้ สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา

การไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว

พึงเศร้าโศกลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญ หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ

-

ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

แก่ไปแล้วอริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก

ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก คร่ำครวญ

ไม่หลงงมงาย นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษเป็นเครื่องเสียบแทง

ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ ทำตนให้เดือดร้อน

อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร

ย่อมดับทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง

-

• ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง

สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...

• สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป...

• สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...

• สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นฉิบหายไป โดยที่แท้สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง

ที่มีการมา การไปการจุติการอุปบัติ

ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญ หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ

ดังนี้

-

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศกไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร

ไม่ทุบอก คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย

นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษ อันเป็นเครื่องเสียบแทง

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำให้เดือดร้อน

อริยสาวกผู้ไม่มีความโศกปราศจากลูกศร

ย่อมดับความทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล

-

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม

หรือใครๆในโลกไม่พึงได้ ฯ

ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้

อันใครๆ ย่อมไม่ได้เพราะการเศร้าโศก

เพราะการคร่ำครวญ พวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศก

เป็นทุกข์ ย่อมดีใจ ก็คราวใด บัณฑิตผู้พิจารณารู้เนื้อความ

ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด คราวนั้น

พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปรกติของบัณฑิตนั้น

ยิ้มแย้มตามเคยย่อมเป็นทุกข์

บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยประการใดๆ

-

เพราะการสรรเสริญ

เพราะความรู้

เพราะกล่าวคำสุภาษิต

เพราะการบำเพ็ญทาน

หรือเพราะประเพณีของตนก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ

ด้วยประการนั้นๆ

ถ้าพึงทราบว่าความต้องการอย่างนี้อันเรา

หรือผู้อื่นไม่พึงได้ไซร้

ก็ไม่ควรเศร้าโศก

ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่

ดังนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๘

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

หน้าที่ ๔๘/๔๐๗ ข้อที่ ๔๘

••••••••••••••••••

ธรรมะสำหรับผู้ป่วย : สนทนาธรรมเช้าวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2558




#ศรแห่งความโศก

#ฐานะ๕ประการ

https://www.youtube.com/watch?v=N0GHyXJsOrM&feature=youtu.be&app=desktop

๘. ฐานสูตร

[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร

พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ ๕ ประการเป็นไฉน

คือฐานะว่า

• ขอสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าแก่ ๑

• ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าเจ็บไข้ ๑

• ขอสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา[ของเรา] อย่าตาย ๑

• ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าสิ้นไป ๑

• ขอสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่าฉิบหาย ๑

-

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม

หรือใครๆ ในโลกไม่พึงได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมแก่ไป

เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

เขาย่อมไม่เห็นดังนี้ว่า

● ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น แก่ไป

โดยที่แท้

สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา การไป

การจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไรทุบอก คร่ำครวญ

หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรพึงเสียใจ

-

ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

เขาย่อมเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ

หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ

ถูกลูกศร คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว

ย่อมทำตนให้เดือดร้อน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง

-

● สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...

● สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อมตายไป ...

● สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...

● สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป

-

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา ฉิบหายไปแล้ว

เขาย่อมไม่พิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น

ฉิบหายไป โดยที่แท้

สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง

ที่มีการมาการไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญหลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรพึงเสียใจ

-

ดังนี้เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

เขาย่อมเศร้าโศก ลำบากร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญ

หลงงมงาย นี้เรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับถูกลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน

• ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ส่วนว่าสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป

เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นแก่ไป

 โดยที่แท้ สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

ของสัตว์ทั้งปวงที่มีการมา

การไปการจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไปทั้งสิ้น

ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว

พึงเศร้าโศกลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญ หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ

-

ดังนี้ เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา

แก่ไปแล้วอริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศก

ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอก คร่ำครวญ

ไม่หลงงมงาย นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษเป็นเครื่องเสียบแทง

ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ ทำตนให้เดือดร้อน

อริยสาวกผู้ไม่มีความโศก ปราศจากลูกศร

ย่อมดับทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง

-

• ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง

สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมเจ็บไข้ ...

• สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา ของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมตายไป...

• สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมสิ้นไป ...

• สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมฉิบหายไป

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นว่า

ไม่ใช่สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นฉิบหายไป โดยที่แท้สิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง

ที่มีการมา การไปการจุติการอุปบัติ

ย่อมฉิบหายไปทั้งสิ้น ส่วนเราเอง

ก็เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

พึงเศร้าโศก ลำบาก ร่ำไร ทุบอก

คร่ำครวญ หลงงมงาย

-

แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน

แม้กายก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม

แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก

แม้พวกอมิตรก็พึงดีใจ

แม้พวกมิตรก็พึงเสียใจ

ดังนี้

-

เมื่อสิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว

อริยสาวกนั้นย่อมไม่เศร้าโศกไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร

ไม่ทุบอก คร่ำครวญ ไม่หลงงมงาย

นี้เรียกว่าอริยสาวกผู้ได้สดับ ถอนลูกศร

คือ ความโศกที่มีพิษ อันเป็นเครื่องเสียบแทง

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ทำให้เดือดร้อน

อริยสาวกผู้ไม่มีความโศกปราศจากลูกศร

ย่อมดับความทุกข์ร้อนได้ด้วยตนเอง

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้แล

-

อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม

หรือใครๆในโลกไม่พึงได้ ฯ

ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกนี้

อันใครๆ ย่อมไม่ได้เพราะการเศร้าโศก

เพราะการคร่ำครวญ พวกอมิตรทราบว่าเขาเศร้าโศก

เป็นทุกข์ ย่อมดีใจ ก็คราวใด บัณฑิตผู้พิจารณารู้เนื้อความ

ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด คราวนั้น

พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปรกติของบัณฑิตนั้น

ยิ้มแย้มตามเคยย่อมเป็นทุกข์

บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยประการใดๆ

-

เพราะการสรรเสริญ

เพราะความรู้

เพราะกล่าวคำสุภาษิต

เพราะการบำเพ็ญทาน

หรือเพราะประเพณีของตนก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ

ด้วยประการนั้นๆ

ถ้าพึงทราบว่าความต้องการอย่างนี้อันเรา

หรือผู้อื่นไม่พึงได้ไซร้

ก็ไม่ควรเศร้าโศก

ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่

ดังนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๘

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

หน้าที่ ๔๘/๔๐๗ ข้อที่ ๔๘

••••••••••••••••••

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สนทนาธรรมเช้าวันพุธที่ 28 ตุลาคม 2558



‪#‎ทำอย่างไรจะไปแต่ทางเจริญไม่เสื่อม‬
บุคคล ๖ จำพวก
(1,2) เป็นผู้งดเว้นจากบาป มีการอยู่ร่วม เป็นสุข 
‪#‎พวกชนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน‬ 
‪#‎ย่อมยินดียิ่งด้วยการอยู่ร่วมกัน‬
(3,4) -มีความโกรธและความถือตัว บางครั้งบาง คราว 
‪#‎โลกธรรมย่อมเกิดแก่เขา‬ 
(5,6) มีความโกรธและความถือตัว บางครั้ง บางคราว 
‪#‎วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา‬
-------------------------------
‪#‎เขาได้ทำกิจแม้ด้วยการฟัง‬ 
‪#‎ได้ทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต‬ 
‪#‎ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ‬ 
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย
เมื่อตายไปแล้ว 
เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม 
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม 
----------------------------
-เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
-ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วย ความเป็นพหูสูต 
-ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
-ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เมื่อตายไป แล้ว เขาย่อมไปทางเสื่อม 
ไม่ไปทางเจริญ เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ ฯ 
--------------------------------
๒. มิคสาลาสูตร
[๓๑๕] ครั้งนั้น เวลาเช้า 
ท่านพระอานนท์นุ่งแล้วถือบาตรจีวร
เข้าไปยังนิเวศน์ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา 
แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ 
ครั้งนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ 
กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 
ครั้นแล้ว ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ 
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนี้ 
ที่เป็นเหตุให้คน ๒ คน 
-
คือคนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์
และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ 
อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร 
คือ บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ 
เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล 
งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน 
ท่านทำกาละแล้ว 
พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า 
‪#‎เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต‬ 
-
บุรุษชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน 
เป็นผู้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
(แต่)ยินดีด้วยภรรยาของตน 
แม้เขากระทำกาละแล้ว 
พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า 
#เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ 
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนี้ 
ที่เป็นเหตุให้คน ๒ คน 
คือ
คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ 
และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ 
อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร ฯ
-
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูกรน้องหญิง 
ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่าง
นั้นแล ฯ
-
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์รับบิณฑบาตที่นิเวศน์ของอุบาสิกา 
ชื่อมิคสาลาแล้ว ลุกจากอาสนะกลับไป 
ครั้งนั้น 
ท่านพระอานนท์กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว 
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ 
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 
ครั้นแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้วถือบาตรจีวร
เข้าไปยังนิเวศน์ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา 
แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้ปูไว้ 
ลำดับนั้น อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเข้าไปหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ 
กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 
ครั้นแล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า 
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ 
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนี้ 
ที่เป็นเหตุให้คน ๒ คนคือ 
คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ 
และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ 
อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร 
คือ บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ 
เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล 
งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน 
ท่านกระทำกาละแล้ว 
พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า
เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต 
บุรุษชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน 
เป็นผู้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
(แต่) ยินดีด้วยภรรยาของตน 
แม้เขากระทำกาละแล้ว 
พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า 
เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต 
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ 
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนี้ที่เป็นเหตุให้คน ๒ คน 
คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ 
และคนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ 
จักเป็นผู้มีคติเสมอกัน 
อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร 
เมื่ออุบาสิกาชื่อมิคสาลากล่าวอย่างนี้แล้ว 
ข้าพระองค์ได้กล่าวกะอุบาสกชื่อมิคสาลาดังนี้ว่า 
ดูกรน้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างนั้นแล ฯ
-
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ 
ก็อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเป็นพาล 
ไม่ฉลาด
เป็นสตรี รู้ตัวว่าเป็นสตรี เป็นอะไร 
และพระสัมมาสัมพุทธะเป็นอะไร 
ในญาณเครื่องกำหนดรู้
ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล 
-
ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
๖ จำพวกเป็นไฉน ดูกรอานนท์บุคคลบางคนในโลกนี้ 
-
เป็นผู้งดเว้นจากบาป 
มีการอยู่ร่วมเป็นสุข 
พวกชนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน 
ย่อมยินดียิ่งด้วยการอยู่ร่วมกัน 
เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต 
ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ไม่ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เขาตายไปแล้วย่อมไปทางเสื่อม 
ไม่ไปทางเจริญ 
เป็นผู้ถึงทางเสื่อม
ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ ฯ
-
ดูกรอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ 
-
เป็นผู้งดเว้นจากบาป 
มีการอยู่ร่วมเป็นสุข 
พวกคนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน 
ย่อมยินดียิ่งด้วยการอยู่ร่วมกัน 
เขาได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต
ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เขาตายไปแล้ว
ย่อมไปทางเจริญไม่ไปทางเสื่อม 
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม 
-
ดูกรอานนท์ พวกชนผู้ถือประมาณย่อมประมาณ
ในเรื่องนั้นว่า ธรรมของชนแม้นี้ก็เหล่านั้น
และธรรมของชนแม้อื่นก็เหล่านั้นแหละ 
เหตุไฉน บรรดาคน ๒ คนนั้น 
-
คนหนึ่งเลว
คนหนึ่งดี 
-
ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น 
เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน 
-
ดูกรอานนท์ ใน ๒ คนนั้น 
บุคคลใดเป็นผู้งดเว้นจากบาป 
มีการอยู่ร่วมเป็นสุข 
พวกคนที่ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน
ย่อมยินดีด้วยการอยู่ร่วมกัน 
เขาได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต 
ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
-
ดูกรอานนท์ บุคคลนี้ดีกว่า และประณีตกว่า
บุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น 
ข้อนั้นเพราะเหตุไร 
เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ 
ใครเล่านอกจากตถาคตจะพึงรู้เหตุนั้น
-
เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
อย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล 
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล 
ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน 
เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ
-
ดูกรอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ 
‪#‎มีความโกรธและความถือตัว‬ 
บางครั้งบางคราว โลกธรรมย่อมเกิดแก่เขา 
‪#‎เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง‬ 
‪#‎ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต‬ 
‪#‎ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ‬ 
ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เมื่อตายไปแล้ว
เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ 
เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ ฯ
-
ดูกรอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ 
#มีความโกรธและความถือตัว 
บางครั้งบางคราว โลภธรรมย่อมเกิดแก่เขา 
‪#‎เขาได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง‬
‪#‎ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต‬ 
#ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เมื่อตายไปแล้ว 
เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม 
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ฯลฯ
-
ดูกรอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ 
#มีความโกรธและความถือตัว 
บางครั้งบางคราว วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา 
เขาไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ไม่ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต 
ไม่ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
เมื่อตายไป
แล้ว เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ 
เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ไม่เป็นผู้ถึงทางเจริญ ฯ
-
ดูกรอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ 
มีความโกรธและความถือตัว 
บางครั้งบางคราว 
วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา 
เขาได้ทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ได้ทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต
ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ 
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย
เมื่อตายไปแล้ว 
เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม 
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม 
-
ดูกรอานนท์ 
พวกคนที่ถือประมาณ ย่อมประมาณ
เรื่องนั้นว่าธรรมของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ 
ธรรมของคนแม้อื่นก็เหล่านั้นแหละ
เหตุไฉนบรรดาคน ๒ คนนั้น 
-
คนหนึ่งเลว 
คนหนึ่งดี 
-
ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณ เหล่านั้น 
ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล 
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน 
-
ดูกรอานนท์ ใน๒ คนนั้น 
บุคคลใดมีความโกรธและความถือตัว 
และบางครั้งบางคราว 
วจีสังขารย่อมเกิดแก่เขา 
เขาได้ทำกิจแม้ด้วยการฟัง 
ได้ทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต 
ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย 
บุคคลนี้เป็นผู้ดีกว่าและประณีตกว่า
บุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น 
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ 
ใครเล่านอกจากตถาคตจะพึงรู้เหตุนั้น 
เพราะเหตุนั้นแหละ 
อานนท์ เธอทั้งหลายอย่าเป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล 
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล 
เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล 
ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน 
เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ 
-
ดูกรอานนท์ ก็อุบาสิกาชื่อมิคสาลาเป็นพาล 
ไม่ฉลาด
เป็นสตรี รู้ตัวว่าเป็นสตรี เป็นอะไร 
และพระสัมมาสัมพุทธะเป็นอะไร 
ในญาณเครื่องกำหนดรู้
ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล 
-
ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก 
ดูกรอานนท์ บุรุษชื่อปุราณะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นใด 
บุรุษชื่ออิสิทัตตะก็เป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นนั้น
บุรุษชื่อปุราณะได้รู้แม้คติของบุรุษชื่ออิสิทัตตะก็หามิได้ 
อนึ่ง บุรุษชื่ออิสิทัตตะ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นใด 
บุรุษชื่อปุราณะก็ได้เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นนั้น 
บุรุษชื่ออิสิทัตตะได้รู้แม้คติของบุรุษชื่อปุราณะก็หามิได้ 
-
ดูกรอานนท์ คนทั้ง ๒ เลวกว่า กัน
ด้วยองคคุณคนละอย่างด้วยประการฉะนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๒
---
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๓๑๖ ข้อที่ ๓๑๕
----
http://etipitaka.com/read/thai/22/317/…
-----