วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559
พุทธวจน faq การตั้งจิตอธิษฐาน กับการขอพร เพื่อให้ได้ซึ่งสิ่งที่ปรารถนา ม...
#อธิษฐานความเพียร
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือ
ความไม่รู้จักอิ่มจักพอ (สันโดษ)
ในกุศลธรรมทั้งหลาย
และความเป็น ผู้ไม่ถอยกลับ (อัปปฏิวานี)
ในการทำความเพียร.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่ง
ความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิษฐานจิต)
ว่า
“หนัง เอ็น กระดูก จักเหลืออยู่,
เนื้อและ เลือดในสรีระจักเหือดแห้ง ไปก็ตามที;
ประโยชน์ใด อันบุคคลจะ บรรลุได้ด้วยกำลัง
ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ,
ถ้ายังไม่บรรลุ ประโยชน์นั้นแล้ว
จักหยุด ความเพียรเสีย เป็นไม่มี” ดังนี้.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! การตรัสรู้ เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้ว
ด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคัก เขมธรรม
ก็เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วย
ความไม่ประมาท.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ถ้าแม้ พวกเธอ
พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ
(ด้วยการอธิษฐานจิต) ว่า
“หนัง เอ็น กระดูก จักเหลืออยู่,
เนื้อและเลือดในสรีระจักเหือดแห้ง ไปก็ตามที;
ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง
ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ,
ถ้ายังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว
จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี” ดังนี้
แล้วไซร้; ภิกษุ ทั้งหลาย. ! พวกเธอ
ก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า
อันเป็นประโยชน์ที่ ต้องการของกุลบุตร
ผู้ออกบวชจากเรือน
เป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ,
ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม
เข้าถึงแล้วแลอยู่ เป็นแน่นอน.
ทุก. อํ. ๒๐/๖๔/๒๕๑.
---------
ศึกษา พุทธวจน(คำของพระพุทธเจ้า)ได้ที่นี่
http://www.buddhakos.org/
http://watnapp.com/
http://media.watnapahpong.org/
http://www.buddhaoat.org/
--
https://www.youtube.com/watch?v=W-a0FI-bxH0
---
#สร้างเหตุให้ถูก
ภูมิชะ ! เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมันจึงเที่ยวเสาะหา
น้ำมัน เกลี่ยงาป่นลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ
ถ้าแม้ ทำความหวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน …
ถ้าแม้ ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยงาป่นลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน ...
ถ้าแม้ ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว เกลี่ยงาป่นลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน ...
ถ้าแม้ ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้ว เกลี่ยงาป่นลงในรางคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็สามารถได้น้ำมัน
นั่นเพราะเหตุไร
ภูมิชะ ! เพราะเขาสามารถได้น้ำมันโดยวิธีแยบคาย ฉันใด
ภูมิชะ ! ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มี
สัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ …
ถ้าแม้ ทำความหวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล …
ถ้าแม้ ทำความไม่หวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล …
ถ้าแม้ ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล...
ถ้าแม้ ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็สามารถบรรลุผล… นั่นเพราะเหตุไร
ภูมิชะ ! เพราะเขาสามารถบรรลุผลได้โดยอุบายแยบคาย …ฯ…
(ภาษาไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๒๑๙/๔๑๕.
---
#การรู้อริยสัจควรแลกเอา #แม้ด้วยการถูกแทงด้วยหอกวันละ ๓๐๐ ครั้ง ๑๐๐ ปี
การรู้อริยสัจควรแลกเอา
แม้ด้วยการถูกแทงด้วยหอกวันละ ๓๐๐ ครั้ง ๑๐๐ ปี
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีอายุร้อยปี
พึงกล่าวกะบุรุษผู้มีชีวิตร้อยปี
อย่างนี้ว่า “เอาไหมล่ะ ท่านบุรุษผู้เจริญ !
เขาจักแทงท่านด้วยหอกร้อยเล่ม
#ตลอดเวลาเช้า #ร้อยเล่มตลอดเวลาเที่ยง #ร้อยเล่มตลอดเวลาเย็น.
ท่านบุรุษผู้เจริญ ! เมื่อเขาแทงท่านอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มทุกวัน ๆ
จนมีอายุร้อยปี
มีชีวิตอยู่ร้อยปี ;
โดยล่วงไปแห่งร้อยปี แล้ว
#ท่านจักรู้เฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่ที่ท่านยังไม่รู้
เฉพาะแล้ว” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! #กุลบุตรผู้รู้ซึ่งประโยชน์ #ควรจะตกลง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท. !
เพราะเหตุว่า สังสารวัฏนี้มีเบื้องต้นและที่สุดอันบุคคล
ไปตามอยู่รู้ไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเบื้องต้นและที่สุดแห่งการประหารด้วยหอก
ด้วยดาบด้วยหลาวด้วยขวาน
ก็จะไม่ปรากฏ, นี้ฉันใด ;
ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็เป็นฉันนั้น :
เรากล่าวการรู้เฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่
ว่าเป็นไปกับด้วยทุกข์กับด้วยโทมนัสก็หามิได้ ;
แต่ เรากล่าวการรู้เฉพาะซึ่งอริยสัจทั้งสี่
ว่าเป็ นไปกับด้วยสุขกับด้วยโสมนัสทีเดียว.
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ
#อริยสัจคือทุกข์
#อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์
#อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
#อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้
เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเป็ นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
“ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้” ดังนี้.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๑/๑๗๑๘.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น