สมาธิจากการเจริญมรรคแปด..สัมมาสมาธิอันเป็นอริยะ...สนทนาธรรมวันเสาร์ที่_2018-06-30
คลิปยูทูป
https://www.youtube.com/watch?v=Y0hfbHCOTOM&t=0s&list=PLnDrrN--tZEDRzpVX5NsMcZ5r4mQMBZfZ&index=62
Cr.วัดนาป่าพง www.watnapp.com
#เพียรทิ้งอกุศล(มรรคแปดข้อ 2)คือเดินมรรค ๘ ก็สามารถปรินิพพานได้🙏🙏🙏 เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ ก็จะนำมาซึ่งมรรคองค์อื่น🙏🙏🙏มรรคแปดเป็นปฏิจจสมุปปันธรรม
🙏🙏🙏
ทิฏฐิที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนบุคคล เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่ง จักษุ ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่งรูปทั้งหลาย ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็นซึ่งจักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง, เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่งจักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง,
เมื่อรู้เมื่อเห็น ซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ตาม ตามที่เป็นจริง แล้ว; เขาย่อมไม่กำหนัดในจักษุ, ไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย, ไม่กำหนัดในจักขุวิญญาณ, ไม่กำหนัดในจักขุสัมผัส, และไม่กำหนัดในเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม.
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว ตามเห็นอาทีนวะ (โทษของสิ่งเหล่านั้น) อยู่เนือง ๆ, ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลายย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป; และตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพใหม่ อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลินเป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ นั้นอันเขาย่อมละเสียได้; ความกระวนกระวาย แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความกระวนกระวาย แม้ทางจิตอันเขาย่อมละเสียได้; ความแผดเผา (สนฺตาป) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความแผดเผา แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้; ความเร่าร้อน (ปริฬาห) แม้ทางกาย อันเขาย่อมละเสียได้, ความเร่าร้อน แม้ทางจิต อันเขาย่อมละเสียได้. บุคคลนั้น ย่อมเสวยซึ่งความสุขอันเป็นไปทางกาย ด้วย, ซึ่งความสุขอันเป็นไปทางจิต ด้วย.
เมื่อบุคคลเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิฏฐิของเขา ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ;
ความดำริของเขา ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะ;
ความพยายามของเขา ย่อมเป็นสัมมาวายะมะ;
สติของเขา ย่อมเป็นสัมมาสติ;
สมาธิของเขาย่อมเป็น สัมมาสมาธิ;
ส่วนกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของเขา เป็นธรรมบริสุทธิ์มาแล้วแต่เดิมนั่นเทียว. ด้วยอาการอย่างนี้แล
อัฏฐังคิกมรรค อันเป็นอริยะ ของเขานั้น ย่อมถึงซึ่งความเต็มรอบแห่งความเจริญ;
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า ๓๓๕-๓๓๗
(บาลี) อุปริ. ม.๑๔/๕๒๒-๕๒๕/๘๒๘-๘๓๑.
----
---
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ ก็จะนำมาซึ่งมรรคองค์อื่น
[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมา ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ จึงพอเหมาะได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการนี้แล พระเสขะผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึง เป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์ ๑๐ ฯ
(ไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๑๔๙/๒๗๙:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น