มโนปวิจารคือ เวทนาทางจิต หมายความว่าอย่างไร
Buddhakos media งานถวายผ้ากฐินบ่ายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ ศ 2562
CR. Buddhakos media งานถวายผ้ากฐินบ่ายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ ศ 2562
https://www.youtube.com/watch?v=EtIUpMoh5nk&t=10s
🙏🙏🙏
🙏🙏🙏
สฬายตนวิภังคสูตร โดยละเอียด ((วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2559))
#ผัสสะเป็นปัจจัย #จึงเกิดเวทนา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุ(อายตนะภายใน)
และรูป(อายตนะภายนอก) เกิดจักษุวิญญาณ(วิญญาณ ๖)
-------
ความประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ คือผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์(เวทนา)
เป็นสุขบ้าง(สุขเวทนา) เป็นทุกข์บ้าง(ทุกขเวทนา)
มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง(อทุกขมสุขเวทนา)
(ข้อความเดียวกันใน เสียง-หู, กลิ่น-จมูก, รส-ลิ้น, สัมผัส-กาย, ธรรมารมณ์(คิดนึก)-ใจ อันต้องเป็นไปเช่นนั้นเองเป็นธรรมดาตามสภาวธรรม)
(ฉฉักกสูตร, ม.อุ.๑๔/๘๒๓/๔๙๓)
---
คลิปยูทูป
https://youtu.be/WScZpPkJWF4
๗. สฬายตนวิภังคสูตร (๑๓๗)
[๖๑๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี
สมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว
พระผู้มี พระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงสฬายตนวิภังค์แก่เธอทั้งหลาย
พวกเธอจงฟังสฬายตนวิภังค์นั้น
จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
ชอบแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
[๖๑๘] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
พวกเธอพึงทราบ
อายตนะภายใน ๖
อายตนะภายนอก ๖
หมวดวิญญาณ ๖
หมวดผัสสะ ๖
ความนึกหน่วงของใจ ๑๘
ทางดำเนินของสัตว์ ๓๖
ใน ๓๖ นั้น
พวกเธอจงอาศัย
ทาง ดำเนินของสัตว์นี้
ละทางดำเนินของสัตว์นี้
และพึงทราบการตั้งสติ ๓ ประการ
ที่พระอริยะเสพ
ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่
อันเราเรียกว่า สารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย
นี้เป็นอุเทศแห่งสฬายตนวิภังค์ ฯ
-
[๖๑๙] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบ
อายตนะภายใน ๖ นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ได้แก่
-
อายตนะคือจักษุ
อายตนะคือโสต
อายตนะคือฆานะ
อายตนะคือชิวหา
อายตนะคือกาย
อายตนะคือมโน
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบอายตนะภายใน ๖
นั่น
เราอาศัยอายตนะดังนี้
กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๒๐] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบ
อายตนะภายนอก ๖
นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ได้แก่
-
อายตนะคือรูป
อายตนะคือเสียง
อายตนะคือกลิ่น
อายตนะคือรส
อายตนะคือโผฏฐัพพะ
อายตนะคือธรรมารมณ์
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่าพึงทราบอายตนะภายนอก ๖
นั่น
เราอาศัยอายตนะดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
--
[๖๒๑] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖
นั่น
เราอาศัย อะไรกล่าวแล้ว ได้แก่
-
จักษุวิญญาณ
โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖
นั่นเราอาศัยวิญญาณดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
--
[๖๒๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบหมวดผัสสะ ๖
นั่น
เราอาศัย อะไรกล่าวแล้ว ได้แก่
-
จักษุสัมผัส
โสตสัมผัส
ชิวหาสัมผัส
กายสัมผัส
มโนสัมผัส
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบหมวดผัสสะ ๖ นั่น
เราอาศัยสัมผัสดังนี้กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๒๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบความนึกหน่วงของใจ ๑๘
นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ
** เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ
ใจย่อมนึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
นึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
นึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
** เพราะฟังเสียงด้วยโสต ...
** เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
** เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
** เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
** เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน
ใจย่อมนึกหน่วงธรรมารมณ์เป็น **ที่ตั้งแห่งโสมนัส
นึกหน่วงธรรมารมณ์เป็น **ที่ตั้งแห่งโทมนัส
นึกหน่วงธรรมารมณ์เป็น **ที่ตั้งแห่งอุเบกขา
ฉะนี้
เป็นความนึกหน่วง
***ฝ่ายโสมนัส ๖
***ฝ่ายโทมนัส ๖
***ฝ่าย อุเบกขา ๖
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบความนึกหน่วงของใจ ๑๘
นั่น
เราอาศัยความนึกหน่วงดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๒๔] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบทางดำเนินของสัตว์ ๓๖
นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ
โสมนัสอาศัยเรือน ๖
โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
โทมนัสอาศัยเรือน ๖
อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ๖
ฯ
-
[๖๒๕] ใน ๓๖ ประการนั้น
โสมนัสอาศัยเรือน ๖ เป็นไฉน
คือ
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
ประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของอันตนได้เฉพาะ
หรือหวนระลึกถึงรูปที่เคยได้เฉพาะในก่อน
อันล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว
ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น
โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า
โสมนัสอาศัยเรือน
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต ...
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ ...
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา ...
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย ...
--
บุคคลเมื่อเล็งเห็นการได้เฉพาะซึ่งธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
ประกอบด้วยโลกามิสโดยเป็นของอันตนได้เฉพาะ
หรือหวนระลึกถึงธรรมารมณ์ที่เคยได้เฉพาะในก่อนอันล่วงไปแล้ว
ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว
ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น
โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า
โสมนัสอาศัยเรือน
เหล่านี้โสมนัสอาศัยเรือน ๖ ฯ
-
[๖๒๖] ใน ๓๖ ประการนั้น
โสมนันอาศัยเนกขัมมะ ๖ เป็นไฉน
คือ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรูปทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูปในก่อนและในบัดนี้ทั้งหมดนั้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น
โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า
โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ฯ
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของเสียงทั้งหลายนั่นแล ...
- บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของกลิ่นทั้งหลายนั่นแล ...
- บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรสทั้งหลายนั่นแล ...
- บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของโผฏฐัพพะทั้งหลายนั่นแล ...
-บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของธรรมารมณ์ทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
ธรรมารมณ์ในก่อนและในบัดนี้ทั้งหมดนั้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น โสมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า
โสมนัสอาศัย เนกขัมมะ
เหล่านี้โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ ฯ
-
[๖๒๗] ใน ๓๖ ประการนั้น
โทมนัสอาศัยเรือน ๖ เป็นไฉน
คือ
- บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าชอบใจ
เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
ประกอบด้วยโลกามิส
โดยเป็นของอันตนไม่ได้
เฉพาะ หรือหวนระลึกถึงรูปที่ไม่เคยได้
เฉพาะในก่อน
อันล่วงไปแล้ว
ดับไปแล้วแปรปรวนไปแล้ว
ย่อมเกิดโทมนัส
โทมนัสเช่น
นี้นี่เราเรียกว่า
โทมนัสอาศัยเรือน
-
บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งเสียง ...
- บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งกลิ่น ...
- บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งรส ...
-บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งโผฏฐัพพะ ...
-บุคคลเมื่อเล็งเห็นความไม่ได้เฉพาะซึ่งธรรมารมณ์
ที่รู้ได้ด้วยมโน
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เป็นที่รื่นรมย์แห่งใจ
ประกอบด้วยโลกามิส โดยเป็นของอันตนไม่ได้เฉพาะ
หรือหวนระลึกถึงธรรมารมณ์ที่ไม่เคยได้เฉพาะในก่อนอันล่วงไปแล้ว
ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว
ย่อมเกิดโทมนัส
โทมนัสเช่นนี้นี่ เราเรียกว่า
โทมนัสอาศัยเรือน
เหล่านี้โทมนัสอาศัยเรือน ๖ ฯ
-
[๖๒๘] ใน ๓๖ ประการนั้น
โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ เป็นไฉน
คือ
-บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรูปทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูปในก่อนและในบัดนี้ ทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
แล้วย่อมเข้าไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข์
เมื่อเข้าไปตั้งความปรารถนาใน อนุตตรวิโมกข์
ดังนี้ว่า เมื่อไร ตัวเราจึงจักบรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลาย
ได้บรรลุอยู่ในบัดนี้เล่า
ย่อมเกิดโทมนัสเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัยขึ้น
โทมนัสเช่นนี้นี่เรา
เรียกว่า
โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ
-
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของเสียงทั้งหลาย นั่นแล ...
-
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของกลิ่นทั้งหลาย นั่นแล ...
-
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรสทั้งหลาย นั่นแล ...
-
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของโผฏฐัพพะ ทั้งหลายนั่นแล ...
-
บุคคลทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของธรรมารมณ์ ทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง
อย่างนี้ว่า
ธรรมารมณ์ในก่อนและในบัดนี้ ทั้งหมดนั้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาแล้ว
ย่อมเข้าไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข์
เมื่อเข้าไปตั้งความปรารถนาในอนุตตรวิโมกข์
ดังนี้ว่า เมื่อไร ตัวเราจึงจักบรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลาย
ได้บรรลุอยู่ในบัดนี้เล่า
ย่อมเกิดโทมนัสเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัยขึ้น
โทมนัสเช่นนี้นี่เราเรียกว่า โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ
เหล่านี้โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ ฯ
-
[๖๒๙] ใน ๓๖ ประการนั้น
อุเบกขาอาศัยเรือน ๖ เป็นไฉน
คือ
เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ
ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้นแก่ปุถุชนคนโง่เขลา
ยังไม่ชนะกิเลส
ยังไม่ชนะวิบาก ไม่เห็นโทษ ไม่ได้สดับ
เป็นคนหนาแน่น อุเบกขาเช่นนี้นั้น
ไม่ล่วงเลยรูปไปได้ เพราะฉะนั้น
เราจึงเรียกว่า อุเบกขาอาศัยเรือน
-เพราะฟังเสียงด้วยโสต ...
- เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
- เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
- เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ...
- เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน
ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้นแก่ปุถุชนคนโง่เขลา
ยังไม่ชนะกิเลส ยังไม่ชนะวิบาก ไม่เห็นโทษ ไม่ได้สดับ
เป็นคนหนาแน่นอุเบกขาเช่นนี้นั้น
ไม่ล่วงเลย
ธรรมารมณ์ไปได้ เพราะฉะนั้น
เราจึงเรียกว่า
อุเบกขาอาศัยเรือน
เหล่านี้
อุเบกขาอาศัยเรือน ฯ
-
[๖๓๐] ใน ๓๖ ประการนั้น
อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ๖ เป็นไฉน
คือ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรูปทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
รูปในก่อนและในบัดนี้ ทั้งหมดนั้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้น อุเบกขาเช่นนี้นั้น
ไม่ล่วงเลยรูปไปได้
เพราะฉะนั้น
เราจึงเรียกว่าอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของเสียงทั้งหลายนั่นแล ...
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของกลิ่นทั้งหลายนั่นแล ...
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของรสทั้งหลายนั่นแล ...
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของโผฏฐัพพะ ทั้งหลายนั่นแล ...
-
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย
และความดับของธรรมารมณ์ทั้งหลายนั่นแล
แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
ธรรมารมณ์ในก่อนและในบัดนี้ทั้งหมดนั้น
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ย่อมเกิดอุเบกขาขึ้น
อุเบกขาเช่นนี้นั้น ไม่ล่วงเลยธรรมารมณ์ไปได้เพราะฉะนั้น
เราจึงเรียกว่า อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ
เหล่านี้อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ๖
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบทางดำเนินของสัตว์ ๓๖
นั่น
เราอาศัยทาง ดำเนินดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๓๑] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖
นั้น
พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้
ละทางดำเนินของสัตว์นี้
นั่นเราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนั้น
พวกเธอจงอาศัย
คืออิงโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
นั้นๆ
แล้วละ คือ
ล่วงเสียซึ่งโสมนัสอาศัยเรือน ๖
นั้นๆ
อย่างนี้ย่อมเป็นอันละโสมนัสนั้นๆ ได้
เป็นอันล่วงโสมนัสนั้นๆ ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลายใน ๓๖ ประการนั้น
พวกเธอจงอาศัย คืออิงโทมนัส
อาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
แล้วละ
คือล่วงเสียซึ่งโทมนัสอาศัยเรือน ๖ นั้นๆ
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละ โทมนัสนั้นๆ ได้
เป็นอันล่วงโทมนัสนั้นๆ ได้
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ประการนั้น
พวกเธอจงอาศัย คืออิงอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
แล้วละคือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาอาศัยเรือน ๖ นั้นๆ
อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละอุเบกขานั้นๆได้
เป็นอันล่วงอุเบกขานั้นๆ ได้
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนั้น
พวกเธอจงอาศัย คืออิงโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
แล้วละ คือล่วงเสียซึ่งโทมนัส
อาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละโทมนัสนั้นๆ ได้
เป็นอันล่วงโทมนัสนั้นๆ ได้
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนั้น
พวกเธอจงอาศัย คือ อิงอุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
แล้วละ คือล่วงเสียซึ่งโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ
อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโสมนัสนั้นๆ ได้
เป็นอันล่วงโสมนัสนั้นๆ ได้ ฯ
-
[๖๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยอารมณ์ต่างๆก็มี
อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง
อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งก็มี
ก็อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยอารมณ์ต่างๆ เป็นไฉน
คือ
อุเบกขา ที่มีในรูป
ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยอารมณ์ต่างๆ
ก็อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง
อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง เป็นไฉน
คือ
อุเบกขาที่มี
อาศัยอากาสานัญจายตนะ
อาศัยวิญญาณัญจายตนะ
อาศัยอากิญจัญญายตนะ
อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะ
นี้อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง
อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่ง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอุเบกขา ๒ อย่าง
พวกเธอจงอาศัย คืออิงอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง
อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น
แล้วละ
คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มี ความเป็นต่างๆ
อาศัยอารมณ์ต่างๆ นั้น
อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละอุเบกขานี้ได้เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอาศัย
คืออิงความเป็นผู้ไม่มีตัณหา
แล้วละ
คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง
อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น
อย่างนี้
ย่อมเป็นอันละอุเบกขานี้ได้
เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ นั้น
พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้
ละทางดำเนินของสัตว์นี้
นั่นเราอาศัยการละ การล่วง
ดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๓๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
และพึงทราบการตั้งสติ ๓ ประการ
ที่ พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า
เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่ นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ศาสดาเป็นผู้อนุเคราะห์
แสวงประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดู
แสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า
นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ
นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ
เหล่าสาวกของศาสดานั้น
ย่อมไม่ฟังด้วยดี
ไม่เงี่ยโสตสดับ
ไม่ตั้งจิตรับรู้
และ
ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น
ตถาคตไม่เป็นผู้ชื่นชม
ไม่เสวยความชื่นชม
และไม่ระคายเคือง
ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้
เราเรียกว่าการตั้งสติประการที่ ๑
ที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า
เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอน หมู่ ฯ
-
[๖๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก
ศาสดาเป็นผู้อนุเคราะห์
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า
นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ
นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ
เหล่าสาวกของศาสดานั้น
บางพวกย่อมไม่ฟังด้วยดี
ไม่เงี่ยโสตสดับ ไม่ตั้งจิตรับรู้
และประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา
บางพวกย่อมฟังด้วยดี
เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้
ไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในข้อนั้นตถาคตไม่เป็นผู้ชื่นชม
ไม่เสวยความชื่นชม
ทั้งไม่เป็นผู้ไม่ชื่นชม
ไม่เสวยความไม่ชื่นชม
เว้นทั้งความชื่นชมและความไม่ชื่นชมทั้งสองอย่างนั้นแล้ว
เป็นผู้วางเฉย
ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้
เราเรียกว่าการตั้งสติประการที่ ๒
ที่พระอริยะเสพซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า
เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่ ฯ
-
[๖๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก
ศาสดาเป็นผู้อนุเคราะห์ แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความเอ็นดูแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายว่า
นี่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเธอ
นี่เพื่อความสุขแก่พวกเธอ
เหล่าสาวกของศาสดานั้นย่อมฟังด้วยดี
เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตรับรู้
ไม่ประพฤติหลีกเลี่ยงคำสอนของศาสดา
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้น
ตถาคตเป็นผู้ชื่นชม เสวยความชื่นชม
และไม่ระคายเคือง ย่อมมีสติสัมปชัญญะอยู่
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าการตั้งสติประการที่ ๓
ที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่า
เป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
และพึงทราบการตั้งสติ ๓ ประการ
ที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่าเป็นศาสดา
ควรเพื่อสั่งสอนหมู่ นั่น เราอาศัยเหตุนี้ กล่าวแล้ว ฯ
-
[๖๓๗] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ศาสดานั้นเราเรียกว่า สารถี
ฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย นั่น
เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ช้างที่ควรฝึก
อันอาจารย์ฝึกช้างไสให้วิ่ง
ย่อมวิ่งไปได้ทิศเดียวเท่านั้น คือ
ทิศตะวันออก
หรือทิศตะวันตก
หรือทิศเหนือ หรือทิศใต้
ม้าที่ ควรฝึก
อันอาจารย์ฝึกม้าขับให้วิ่ง
ย่อมวิ่งไปได้ทิศเดียวเหมือนกัน
คือ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก
หรือทิศเหนือ หรือทิศใต้
โคที่ควรฝึก อันอาจารย์ ฝึกโคขับให้วิ่ง
ย่อมวิ่งไปได้ทิศเดียวเหมือนกัน
คือ ทิศตะวันออก หรือทิศ ตะวันตก หรือทิศเหนือ
หรือทิศใต้
แต่บุรุษที่ควรฝึก
อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธสอนให้วิ่ง
-
ย่อมวิ่งไปได้ทั่วทั้ง๘ ทิศ คือ
ผู้ที่มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลายได้นี้ทิศที่ ๑
ผู้ที่มีสัญญาในอรูปภายใน
ย่อมเห็นรูปทั้งหลายภายนอกได้ นี้ทิศที่ ๒
ย่อมเป็นผู้น้อมใจว่างามทั้งนั้น นี้ทิศที่ ๓
ย่อมเข้าอากาสานัญจายตนะอยู่ด้วยใส่ใจว่า
อากาศหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงรูปสัญญา
ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจ
นานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๔
ย่อมเข้าวิญญาณัญจายตนะอยู่ด้วย
ใส่ใจว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๕
ย่อมเข้าอากิญจัญญายตนะ
อยู่ด้วยใส่ใจว่า ไม่มีสักน้อยหนึ่ง
เพราะล่วง วิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๖
ย่อมเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ อยู่
เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๗
ย่อมเข้าสัญญา เวทยิตนิโรธอยู่
เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้ทิศที่ ๘
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษที่ควรฝึก
อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธสอนให้วิ่งย่อมวิ่งไปได้
ทั่วทั้ง ๘ ทิศดังนี้
ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ศาสดานั้นเราเรียกว่าสารถีฝึก
บุรุษที่ควรฝึก ยอดเยี่ยม
กว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย
นั่นเราอาศัยเหตุดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ สฬายตนวิภังคสูตร ที่ ๗
_______________
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๓๐๑ ข้อที่ ๖๑๗ - ๖๓๗
---
http://etipitaka.com/read/thai/14/301/…
---
🙏🙏🙏
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น