วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

สนทนาธรรมเช้าวันอาทิตย์ 13 กันยายน 2558



#การระลึกถึงเทวดา หมายถึง ระลึกถึง ธรรมะที่ทำให้เขาไปเป็นเทวดาและเรา การที่เทวดานั้นประกอบ(ในสมัยที่เป็นมนุษย์) ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เช่นใดแม้เราก็มี https://www.youtube.com/watch?v=SUlEbZdU2tc&feature=youtu.be
๕. อนุสสติฏฐานสูตร(ภาษาไทยแปลตก ศรัทธา)
[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้
๖ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
-
#ย่อมระลึกถึงพระตถาคตว่าแม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ... เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคต
สมัยนั้น จิตของพระอริยสาวกนั้น
เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว
เป็นจิตออกไป พ้นไป
หลุดไปจากความอยาก
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าความอยากนี้
เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้
ทำพุทธานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-
อีกประการหนึ่ง อริยสาวก
#ย่อมระลึกถึงพระธรรมว่า
พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ
อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน
ดูกรภิกษุทั้งหลายสมัยใด
อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรม
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
สัตว์บางพวกในโลกนี้
ทำธรรมานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
--
อีกประการหนึ่ง อริยสาวก
#ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์ว่า
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ
เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด
อริยสาวก ย่อมระลึกถึงพระสงฆ์
สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้น
เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำสังฆานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-
อีกประการหนึ่ง อริยสาวก
#ย่อมระลึกถึงศีลของตน อันไม่ขาด ฯลฯ
เป็นไปเพื่อสมาธิ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีล
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำสีลานุสสติ
แม้นี้ให้เป็นอารมณ์ ย่อมบริสุทธิ์ได้
ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-
อีกประการหนึ่ง อริยสาวก
#ย่อมระลึกถึงจาคะของตนว่า
เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดี
แล้วหนอ ฯลฯ ควรแก่การขอ
ยินดีในการจำแนกทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวก
ย่อมระลึกถึงจาคะ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
สัตว์บางพวกในโลกนี้ ทำจาคานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
-
อีกประการหนึ่ง อริยสาวก
#ย่อมระลึกถึงเทวดาว่า
เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่
เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาเหล่ายามามีอยู่
เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่
เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัดดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหมมีอยู่
เทวดาที่สูงกว่านั้นมีอยู่ เทวดาเหล่านั้น
ประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
-
ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเรา มีอยู่
เทวดาเหล่านั้น ประกอบด้วยศีลเช่นใด
ด้วยสุตะเช่นใด
ด้วยจาคะเช่นใด
ด้วยปัญญาเช่นใด
-
จุติจากโลกนี้แล้ว อุบัติในเทวดาชั้นนั้น
ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่
/
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวก
ย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะจาคะ และปัญญา ของตน
และของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น
จิตของอริยสาวกนั้น เป็นจิตไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม
เป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว เป็นจิตออกไป พ้นไป
หลุดไปจากความอยาก
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่า ความอยาก นี้
เป็นชื่อของเบญจกามคุณ
สัตว์บางพวกในโลกนี้
ทำเทวตานุสสติแม้นี้ให้เป็นอารมณ์
ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยประการฉะนี้
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุสสติ ๖ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๒๘๗ ข้อที่ ๒๙๖
--
http://etipitaka.com/read/thai/22/287/?keywords=%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

พุทธวจน faq จิตของพระอรหันต์ยังมี ราคะ โทสะ โมหะ หรือไม่



***พระอรหันต์รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองทุกขณะจิตแต่ไม่ทุกข์***

*****************************************************************

‪#‎สิ่งที่พระศาสดาถือว่าเป็นความอัศจรรย์‬

‪#‎สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ‬

(เวทนา สัญญา วิตก เป็นของแจ่มแจ้ง ..เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)

--

#สิ่งที่พระศาสดาถือว่าเป็นความอัศจรรย์

อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้

เธอพึงจำสิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อนของตถาคต ข้อนี้ไว้.

อานนท์ ! ในกรณีนี้คือ :-

‪#‎เวทนา‬ เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป

‪#‎สัญญา‬ เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป

‪#‎วิตก‬ เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคตแล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป

อานนท์ ! เธอจงทรงจำสิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคย

มีมาแต่ก่อนของตถาคตข้อนี้แล.

อุปริ. ม. ๑๔/๒๕๔/๓๗๙.

---

#สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาที่ภิกษุอบรมแล้ว

ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ เป็นไฉน

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

‪#‎เวทนาทั้งหลาย‬ อันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ รู้แจ้งแล้ว

ย่อมบังเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับ

‪#‎สัญญาทั้งหลาย‬ อันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้รู้แจ้งแล้ว

ย่อมบังเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ย่อมถึงความดับ

‪#‎วิตกทั้งหลาย‬ อันภิกษุในพระธรรมวินัยนี้รู้แจ้งแล้ว

ย่อมบังเกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่ ย่อมถึงความดับ ฯ

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย

สมาธิภาวนานี้อันภิกษุอบรมแล้ว

ทำให้มากแล้ว

ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ ฯ

--

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

หน้าที่ ๑๗๘/๒๘๘ ข้อที่ ๒๓๓

--

http://etipitaka.com/read…

--

#ผู้ที่อยู่ด้วยเครื่องอยู่แบบพระอริยเจ้า

 
ภิกษุท. ! (๙) ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดีเป็นอย่างไรเล่า ?



       ภิกษุท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากราคะจากโทสะจากโมหะ.



       ภิกษุท. ! ภิกษุอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นด้วยดี.




ภิกษุท. ! (๑๐) ภิกษุเป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดีเป็นอย่างไรเล่า ?



       ภิกษุท. ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมรู้ชัดว่า “เราละราคะโทสะโมหะเสียแล้ว



        ถอนขึ้นได้กระทั่งรากทำให้เหมือนตาลยอดเน่าไม่ให้มีไม่ให้เกิดได้อีกต่อไป” ดังนี้.



ภิกษุท. ! ภิกษุอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาในความหลุดพ้นด้วยดี.








ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์หน้า๒๗๐



(ไทย) จตุกฺก. อํ. ๒๑/๒๗/๒๘.

http://etipitaka.com/read/thai/21/27/

--

#หลักทดสอบตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่

ภิกษุท.! หลักเกณฑ์นั้นมีอยู่ซึ่งเมื่อบุคคลอาศัยแล้วไม่ต้อง



       อาศัยความเชื่อความชอบใจการฟังตามๆกันมาการตริตรึกไปตามอาการ



       การเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเลยก็อาจพยากรณ์การบรรลุอรหัตตผล



       ของตนได้โดยรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ



       ได้ทำสำเร็จแล้วกิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก" ดังนี้.








ภิกษุท.! หลักเกณฑ์นั้นเป็นอย่างไรเล่า?



       ภิกษุท.! ภิกษุในกรณีนี้เห็นรูปด้วยตาแล้วรู้ชัดราคะโทสะโมหะ



       ซึ่งเกิดมีอยู่ในภายในว่าเกิดมีอยู่ในภายใน, รู้ชัดราคะโทสะโมหะอันไม่เกิดมีอยู่ใน



       ภายในว่าไม่เกิดมีอยู่ในภายใน.







ภิกษุท.! เมื่อเธอรู้ชัดอยู่อย่างนี้แล้ว ยังจำเป็นอยู่อีกหรือที่จะต้องรู้ธรรมทั้งหลายด้วยอาศัยความเชื่อความชอบใจการฟังตามๆกันมาการตริตรึกไปตามอาการการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตน ?



"ข้อนั้นหามิได้พระเจ้าข้า !"



ภิกษุท .! ธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่ต้องเห็นด้วยปัญญาแล้วจึงรู้มิใช่หรือ ?



"ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า !"



"
ภิกษุท! นี่แหละหลักเกณฑ์ซึ่งเมื่อบุคคลอาศัยแล้วไม่ต้อง



       อาศัยความเชื่อความชอบใจการฟังตามๆกันมาการตริตรึกไปตามอาการ



       การเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเลยก็อาจพยากรณ์การบรรลุอรหัตตผล



       ของตนได้โดยรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำ



       สำเร็จแล้วกิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก" ดังนี้.








(ไทย)สฬา. สํ. ๑๘/๑๔๒-๑๔๔/๒๓๙-๒๔๒:

--

http://etipitaka.com/read/thai/18/142/

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

พอจ เมตตาอธิบายมารผู้มีบาปหรือมารของพระศาสดาหมายถึงอะไร



#มารของพระศาสดาคือ  ความตาย  ขันธ์๕ อกุศลในจิต  มารมีหลายนัยยะ

https://www.youtube.com/watch?v=GKcveIFg9IQ&feature=share

พุทธวจน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง เป็นอย่างไร ?

พุทธวจน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง

เป็นอย่างไร ?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม

สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข

เกิดแต่วิเวกอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้ ! เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุทุติยฌาน

มีความผ่องใสแห่งจิตภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็น

ของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุมีอุเบกขา

มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน

ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุได้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า อากาศหาที่สุดมิได้อยู่ เพราะเพิกรูปสัญญาเสียทั้งสิ้น เพราะปฏิฆสัญญาไม่ตั้งอยู่เพราะไม่มีมนสิการนานัตตสัญญาอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอดคือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมาร

ผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้อยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มีอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมาร

ผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็และเพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมีอาสวะสิ้นไป.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม เป็นผู้ข้ามพ้นตัณหาอันข้องอยู่ในอารมณ์ต่างๆในโลกเสียได้.

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีความยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

จบ นิวาปสูตร ที่ ๕

----------------------------------------

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๒๑๗ข้อที่ ๓๑๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม

สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข

เกิดแต่วิเวกอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้ ! เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุทุติยฌาน

มีความผ่องใสแห่งจิตภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็น

ของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุมีอุเบกขา

มีสติสัมปชัญญะเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุข.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน

ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุได้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า อากาศหาที่สุดมิได้อยู่ เพราะเพิกรูปสัญญาเสียทั้งสิ้น เพราะปฏิฆสัญญาไม่ตั้งอยู่เพราะไม่มีมนสิการนานัตตสัญญาอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอดคือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอยถึงความไม่เห็นของมาร

ผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้อยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ซึ่งมีบริกรรมว่า อะไรหน่อยหนึ่งไม่มีอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมาร

ผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงเสียแล้ว ได้บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็และเพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมีอาสวะสิ้นไป.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรากล่าวว่า ภิกษุได้ทำมารให้ตาบอด

คือทำลายจักษุของมารให้ไม่เห็นร่องรอย ถึงความไม่เห็นของมารผู้มีบาปธรรม เป็นผู้ข้ามพ้นตัณหาอันข้องอยู่ในอารมณ์ต่างๆในโลกเสียได้.

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีความยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.

จบ นิวาปสูตร ที่ ๕

----------------------------------------

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ หน้าที่ ๒๑๗ข้อที่ ๓๑๑

มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร พุทธวจน



#มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ..แสวงหาที่ประเสริฐ

https://www.youtube.com/watch?v=pMs5LHSqgkg&feature=share

***การแสวงหา...ที่ประเสริฐ....***

*****************************

[๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลายโลกนี้



โดยตนเองเป็นผู้มี

***ชาติ***

เป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา



ย่อมแสวงหาพระนิพพาน

ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ



โดยตนเองเป็นผู้มี

***ชรา***

เป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา



ย่อมแสวงหาพระนิพพาน

ที่ไม่แก่หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้เกษมจากโยคะ



โดยตนเองเป็นผู้

***พยาธิ***

เป็มธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา



ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่ตาย

หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามีได้ เกษมจากโยคะ



โดยตนเองเป็นผู้มี

***โศก***

เป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา



ย่อมแสวงหานิพพาน

ที่หาโศกมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ



โดยตนเองเป็นผู้มี

***สังกิเลส***

เป็นธรรมดา

ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา

ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง

หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ

ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้แล คือ

***การแสวงหาที่ประเสริฐ.***



พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

หน้าที่ ๒๒๑/๔๓๐ ข้อที่ ๓๑๕-๓๑๖

****************************

อ่านพุทธวจนเพิ่มเติมได้จากโปรแกรม E - Tipitaka

http://etipitaka.com/read?keywords=มรณะ&language=thai&number=221&volume=12

****************************

การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ

***การแสวงหา...ที่ไม่ประเสริฐ...***

***********************************

[๓๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐเป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลายคนบางคนในโลกนี้

โดยตนเองเป็นผู้มี



***ชาติ***

เป็นธรรมดา

ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มี



***ชรา***

เป็นธรรมดา

ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มี



***พยาธิ***

เป็นธรรมดา

ก็ยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มี



***มรณะ***

เป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มี



***โศก***

เป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

เป็นผู้มี



***สังกิเลส***

เป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

ก็อะไรเรียกว่า



สิ่งมีชาติเป็นธรรมดา

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค

ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า สิ่งมีชาติเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สิ่งมีชาติเป็นธรรมดาเหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลง

เกี่ยวข้องในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดาเหล่านั้น



ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา อยู่นั่นแหละ



ก็อะไรเล่าเรียกว่าสิ่งมีชราเป็นธรรมดา

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ

ไก่สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน

เรียกว่าสิ่งมีชราเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีชราเป็นธรรมดาเหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลง

เกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีชราเป็นธรรมดาเหล่านั้น

ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ ก็อะไรเล่า เรียกว่า



สิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา?

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร

ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า

สิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาเหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลงเกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาเหล่านั้น

ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา

ยังแสดงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ



ก็อะไรเล่า เรียกว่า สิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา?

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร

ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน

เรียกว่า สิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาเหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลง

เกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาเหล่านั้น

ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ



ก็อะไรเล่า เรียกว่า สิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา?

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ

แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า

สิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งมีความโศกเป็นธรรมดา เหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลง

เกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาเหล่านั้น

ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีความโศกเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ



ก็อะไรเล่า เรียกว่า สิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา?

บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ

ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า

สิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา เหล่านั้น

เป็นอุปธิ

ผู้ที่ติดพัน

ลุ่มหลง

เกี่ยวข้อง

ในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา เหล่านั้น

ชื่อว่าโดยตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา

ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้คือ

***การแสดงหาที่ไม่ประเสริฐ.***



พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

หน้าที่ ๒๒๑/๔๓๐ ข้อที่ ๓๑๕-๓๑๖

*******************************

อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka

http://etipitaka.com/read?keywords=มรณะ&language=thai&number=221&volume=12#

********************************

#การรู้อริยสัจ๔ ...

#เร่งด่วนกว่า..#การดับไฟ..#ที่กำลังไหม้อยู่บนศรีษะ...



#สัตติสตสูตร

#ว่าด้วยการตรัสรู้อริยสัจ๔



[๑๗๑๗] พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย



เมื่อผ้าหรือศีรษะถูกไฟไหม้แล้ว

จะควรกระทำอย่างไร?



ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญเมื่อผ้าหรือศีรษะถูกไฟไหม้แล้ว

ควรจะกระทำความพอใจ

ความพยายาม

ความอุตสาหะ

ความไม่ย่นย่อ

ความไม่ท้อถอย

สติและสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า

เพื่อดับผ้าหรือศีรษะนั้น.



พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บุคคลพึงวางเฉย

ไม่ใส่ใจถึงผ้าหรือศีรษะที่ถูกไฟไหม้

แล้ว



#พึงกระทำความพอใจ

#ความพยายาม

#ความอุตสาหะ

#ความไม่ย่นย่อ

#ความไม่ท้อถอย

#สติและสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า

#เพื่อตรัสรู้อริยสัจ ๔

#ที่ยังไม่ตรัสรู้ตามความเป็นจริง



อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ

ทุกขอริยสัจ ฯลฯ

ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ



ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ

เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร

เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า

นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.



พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

หน้าที่ ๔๓๖/๔๖๙

ข้อที่ ๑๗๑๘-๑๗๑๙


วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

สนทนาธรรมบ่ายวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2558



มี #อายุ100 ปี  กับ  มี #ชีวิต100 ปี  #ต่างกันอย่างไร?

ดูความละเอียด  ลึกซึ่ง ปราณีตของคำพระศาสดาคะ

ประมาณนาทีที่ 4.27 https://www.youtube.com/watch?v=W731eNo6-PM

‪#‎ถึงจะตีความผิด‬ มันจะกลับเข้ามาถูกได้

เพราะถ้าตีความผิด เข้าใจผิด มันจะไปขัดกับพระสูตรอื่น..

--๑. พระองค์ทรงสามารถกำหนดสมาธิ

เมื่อจะพูดทุกถ้อยคำ จึงไม่ผิดพลาด

อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดง

กระทั่งคำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆ

ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่

ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีจิตเป็นเอก

ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้.

มหาสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒ / ๔๖๐ / ๔๓๐

-

๒. แต่ละคำพูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา

ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายเป็นผู้ที่เรานำไปแล้วด้วยธรรมนี้

อันเป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง (สนฺทิฏฐิโก),

เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล (อกาลิโก),

เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู (เอหิปสฺสิโก),

ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก),

อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจฺจตฺตํ เวทตพฺโพ วิญฺญูหิ).

มหาตัณหาสังขยสูตร ม. ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๐.

-

๓. คำพูดที่พูดมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้นั้น สอดรับไม่ขัดแย้งกัน

ภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี

ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน

ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ,

ตลอดเวลาระหว่างนั้น

ตถาคตได้กล่าวสอน

พร่ำสอน แสดงออก ซึ่งถ้อยคำใด

ถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมด

ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น

ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย.

อิติวุ. ขุ. ๒๕ / ๓๒๑ / ๒๙๓

-

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ สนทนาธรรมเช้าวันเสาร์ หลังฉัน_2015-07-18



#อย่าทุ่มเถียงกันในธรรมที่เราแสดง
ประมาณนาทีที่ <<8.14>> https://www.youtube.com/watch?v=hsjs-QK_fRo&feature=youtu.be
[๑๐๙] ดูกรจุนทะ ก็บริษัทเหล่านั้นแล
พึงพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาเถิด
สพรหมจารีสงฆ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงกล่าวธรรม
หากว่าในภาษิต ของสพรหมจารีนั้น
คำอย่างนี้พึงมีแก่เธอทั้งหลายว่า อาวุโส ท่านผู้มีอายุนี้แล
ถือเอาอรรถนั่นแหละผิด
และยกขึ้นซึ่งพยัญชนะทั้งหลายผิด ดังนี้
-
เธอทั้งหลายไม่พึงยินดี ไม่พึงคัดค้านต่อสพรหมจารีนั้น
ครั้นแล้วสพรหมจารีนั้นอันพวกเธอ
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส
พยัญชนะเหล่านี้หรือพยัญชนะเหล่านั้น ของอรรถนี้
เหล่าไหนจะสมควรกว่ากัน
อรรถนี้หรืออรรถนั่นของพยัญชนะเหล่านี้
อย่างไหนจะสมควรกว่ากัน
หากว่าสพรหมจารีนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
อาวุโส พยัญชนะ เหล่านี้แหละของอรรถนี้สมควรกว่า
และอรรถนี้แหละของพยัญชนะเหล่านี้สมควร กว่า
สพรหมจารีนั้นอันพวกเธอไม่พึงยินดี ไม่พึงรุกราน
ครั้นแล้วสพรหมจารี นั้นแหละ อันพวกเธอพึงให้รู้ด้วยดี
เพื่อไตร่ตรองอรรถนั้นและพยัญชนะเหล่า นั้น ฯ
-

[๑๑๐] ดูกรจุนทะ ถ้าสพรหมจารีสงฆ์แม้อื่นอีก
พึงกล่าวธรรม หาก ว่าในภาษิตของสพรหมจารีนั้น
คำอย่างนี้พึงมีแก่เธอทั้งหลายว่า ท่านผู้มีอายุนี้แล
ถือเอาอรรถเท่านั้นผิด ยกขึ้นซึ่งพยัญชนะทั้งหลายชอบ ดังนี้
เธอทั้งหลายไม่พึง ยินดี
ไม่พึงคัดค้านต่อสพรหมจารีนั้น
ครั้นแล้วสพรหมจารีนั้นอันพวกเธอพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า อาวุโส อรรถนี้หรืออรรถนั่นของพยัญชนะ
เหล่านี้อย่างไหนจะสมควกว่ากัน
หากว่าสพรหมจารีนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส
อรรถนี้แหละของ พยัญชนะเหล่านี้สมควรกว่า
สพรหมจารีนั้น อันพวกเธอไม่พึงยกย่อง
ไม่พึง รุกรานครั้นแล้วสพรหมจารีนั้นแหละ
อันพวกเธอพึงให้รู้ด้วยดี เพื่อไตร่ตรอง อรรถนั้น ฯ
-
[๑๑๑] ดูกรจุนทะ ถ้าสพรหมจารีสงฆ์แม้อื่นอีก
พึงกล่าวธรรม หากว่า ในภาษิตของสพรหมจารีนั้น
คำอย่างนี้พึงมีแก่เธอทั้งหลายว่า
ท่านผู้มีอายุนี้แล ถือเอาอรรถเท่านั้นชอบ
ยกขึ้นซึ่งพยัญชนะทั้งหลายผิด ดังนี้
พวกเธอทั้งหลาย ไม่พึงยินดี
ไม่พึงคัดค้านต่อสพรหมจารีนั้น
สพรหมจารีนั้นอันพวกเธอพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า อาวุโส พยัญชนะเหล่านี้เทียว หรือว่าพยัญชนะ
เหล่านั้นของอรรถนี้ เหล่าไหนจะสมควรกว่ากัน
หากว่าสพรหมจารีนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
พยัญชนะเหล่านี้แหละ ของอรรถนี้แล สมควรกว่า
สพรหมจารีนั้นอันพวกเธอไม่พึงยก ย่อง
ไม่พึงรุกรานครั้นแล้วสพรหมจารีนั้นแหละ
อันพวกเธอพึงให้รู้ด้วยดี
เพื่อไตร่ตรองพยัญชนะเหล่านั้นนั่นเทียว ฯ
-
[๑๑๒] ดูกรจุนทะ ถ้าสพรหมจารีสงฆ์แม้อื่นอีก
พึงกล่าวธรรม หากว่า ในภาษิตของสพรหมจารีนั้น
คำอย่างนี้พึงมีแก่เธอทั้งหลายว่า ท่านผู้มีอายุนี้แล
ถือเอาอรรถนั่นแหละชอบ
ยกขึ้นซึ่งพยัญชนะทั้งหลายก็ชอบ ดังนี้
เธอทั้งหลายพึงชื่นชม
พึงอนุโมทนาภาษิตของสพรหมจารีนั้นว่า
ดีแล้ว สพรหมจารีนั้น อันพวกเธอพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
อาวุโส เป็นลาภของเราทั้งหลาย
อาวุโส พวกเราได้ดีแล้วที่จักระลึกถึงท่านผู้มีอายุ
ผู้เป็นสพรหมจารีเช่นท่าน ผู้เข้าถึงอรรถผู้เข้า
ถึงพยัญชนะอย่างนี้ ดังนี้ ฯ
-
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
หน้าที่ ๑๐๐ ข้อ ๑๐๘-๑๑๒
-
#ว่าด้วยการพูดที่ไม่เป็นประโยชน์

ภิกษุ ท. ! พวกเธอ อย่ากล่าวถ้อยคำที่เป็นเหตุให้ยึดถือแตกต่างกันว่า
“ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้,
ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้,
ท่านรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร
ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก,
คำควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง,
คำควรกล่าวทีหลัง ท่านมากล่าวก่อน,
คำพูดของท่านจึงไม่เป็นประโยชน์ คำพูดของข้าพเจ้า เป็นประโยชน์,
ข้อที่ท่านเคยถนัดมาแปรปรวนไปเสียแล้ว
ข้าพเจ้าแย้งคำพูดของท่านแหลกหมดแล้ว,
ท่านถูกข้าพเจ้าข่มแล้วเพื่อให้ถอนคำพูดผิด ๆ นั้นเสีย
หรือท่านสามารถก็จงค้านมาเถิด” ดังนี้.

พวกเธอไม่พึงกล่าวถ้อยคำเช่นนั้น เพราะเหตุไรเล่า ?
เพราะเหตุว่าการกล่าวนั้น ๆ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
ไม่เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อมและนิพพาน.

ภิกษุ ท. ! เมื่อพวกเธอจะกล่าว จงกล่าวแต่เรื่องที่ว่า
“ความทุกข์เป็นเช่นนี้ ๆ,
เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,
ความดับสนิทแห่งทุกข์เป็นเช่นนี้ ๆ,
และข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ” ดังนี้.
เพราะเหตุไรเล่า ?
เพราะเหตุว่า การกล่าวนั้นเป็นการกล่าวที่ประกอบด้วยประโยชน์
เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์
เป็นไปพร้อมเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด
ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม และนิพพาน แล.
-
ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า 409
_______________________________________
บาลี พระพุทธภาษิต มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๕/๑๖๖๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
-
เรากล่าวแล้ว โดยปริยายแม้สองอย่าง ถึง ร้อยแปดอย่าง...
-
“ธรรม” (คือเวทนา) เป็นสิ่งที่บัญญัติได้หลายปริยาย
(อันเป็นเหตุให้หลงทุ่มเถียงกัน)

ภิกษุ ท. ! เวทนาเรากล่าวแล้ว โดยปริยายแม้สองอย่าง,
โดยปริยายแม้สามอย่าง, โดยปริยายแม้ห้าอย่าง,
โดยปริยายแม้หกอย่าง, โดยปริยายแม้สิบแปดอย่าง,
โดยปริยายแม้สามสิบหกอย่าง, โดยปริยายแม้ร้อยแปดอย่าง.

ภิกษุ ท. ! โดยปริยายอย่างนี้ ที่เราแสดงธรรม.
เมื่อเราแสดงธรรมอยู่โดยปริยายอย่างนี้,
ชนเหล่าใด จักไม่สำคัญร่วม จักไม่รู้ร่วม
จักไม่พอใจร่วม แก่กันและกัน ว่าเป็นธรรมที่เรากล่าวดีแล้ว พูดไว้ดีแล้ว ;
เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาหวังได้ ก็คือ จักบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันทิ่มแทง
กันและกันด้วยหอกปาก อยู่.

ภิกษุ ท. ! โดยปริยายอย่างนั้น ที่เราแสดงธรรม.
เมื่อเราแสดงธรรมอยู่โดยปริยายอย่างนั้น,
ชนเหล่าใด จักสำคัญร่วม จักรู้ร่วม จักพอใจร่วม แก่กันและกัน
ว่าเป็นธรรมที่เรากล่าวดีแล้ว พูดไว้ดีแล้ว ;
เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่เขาหวังได้ ก็คือ จักพร้อมเพรียงกัน บันเทิงต่อกัน
ไม่วิวาทกันเข้ากันได้เหมือนน้ำนมกับน้ำ
มองกันและกันด้วยสายตาอันเป็นที่รักอยู่, ดังนี้แล.

อริยสัจจากพระโอษฐ์หน้า178
- สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๓/๔๒๕.