วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พุทธวจน faq นามกาย



#กายสักขีบุคคลเป็นไฉน (นามกาย)?

พระไตรปิฏก เล่ม ๒๑  พระสุตตันตปิฏก เล่มที่ ๑๒

อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

https://www.youtube.com/watch?v=us6F5ldHePU&feature=share

--

[๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายสักขีบุคคลเป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้

ถูกต้องวิโมกข์ขั้นละเอียด

คืออรูปสมบัติ

ล่วงรูปสมาบัติด้วยกายอยู่

และอาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป

เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา

-

บุคคลนี้เราเรียกว่า กายสักขีบุคคล

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า

กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้

ข้อนี้เป็นเพราะเหตุใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุเช่นนี้ว่า

ไฉนท่านผู้นี้ เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร

คบหากัลยาณมิตร

ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่

พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์

อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า

ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน

บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ

ต้องการให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

ได้ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ดังนี้

เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้.

--

กายสักขี แปลอีกอย่างหนึ่งคือหมายถึง ผู้มี กาย(อะไรตามที่ตรัสนั้น) เป็นสังขีพยานด้วยการประจักษ์ชนิดที่ปลอดอิสระจากนิวรณ์ทั้ง ๕ และ ฯลฯ

-

เช่น

ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นกายสักขี (ท่านพุทธทาสแปลว่า ผู้มีการเสวยสุขด้วยนามกายเป็นพยาน) เป็นอย่างไรเล่า?

-

ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ บุคคลบางคน ถูกต้องวิโมกข์ทั้งหลาย อันไม่เกี่ยวกับรูป เพราะก้าวล่วงรูปเสียได้ อันเป็นวิโมกข์ที่สงบรำงับ ด้วนนามกาย (ด้วยจิต+สติในสมาธิแบบนั้นๆ- ผมเสนอเอง) แล้วแลอยู่

-

อหนึ่ง อาสวะทั้งหลายบางเหล่า ของเขานั้น ก็สิ้นไปรอบแล้ว เพราะเห็นแล้วด้วยปัญญา (ขั้นอริยบุคคลในะรรมวินัยนี้ แต่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะตรัสว่า อาสวะบางเหล่า ฯ)

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า บุคคลผู้เป็นกายสักขี

ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ยังมีอะไรๆ (อวิชชาอันเป้นอนุสัยขั้นอรหัตตผลมั๊ง) ที่เธอต้องทำด้วยความไม่ประมาท ฯลฯ



(อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๖๖๖)



อีกพระสูตรเป็น ผู้กายสักขี ตามคำของพระอานนท์.นวก อํ ๒๓/๔๗๒/๒๔๗



สรุป

กายสักขี = มีกายเป็นพยาน

แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 50 13:28:09



จากคุณ : เซนเถรวาท

--

(ต่อ)

กายสักขี จึงมี ๒ แบบ (ในกรณีนี้..นอกตำรา) คือ

-

(๑) กานสักขี แบบที่ โยคีอื่นเขาทำได้ เช่น

อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส นั่นแหละครับ

-

(๒) กายสักขี แบบโยคีพุทธ เช่น ลูกศิษย์ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส มาประพฤติพรมจรรย์ เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ..ตามที่ตรัส หรือตามที่พระอานน์ท์กล่าว

-

สรุปว่า

กายสักขี คำแรกของกระทู้้ ตรงกับ ข้อที่ ๑ และ ๒

-

ส่วนกายสักขีคำหลัง ก็คือ กายสักขี ที่คือ พระโสดา -อนาคา (ผู้เป็นตามข้อที่ ๑ และ ๒)..ตามที่ตรัสว่า ..เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา...กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้

-

สรุปสั้นๆ

กายสักขี คืออรูปฌานจิตนั่นเอง

-

หมายเหตุ

เพราะเห็น(อริยสัจ) ด้วยปัญญา (สัมมาญาณะ ตามสัมมัตตะ ข้อที่ ๙)..แล้ว ยังต่อตามมาด้วย หลุดพ้น (สัมมาวิมุตติ ..สัมมัตตะข้อที่ ๑๐)

-

จากคุณ : เซนเถรวาท -

--

[๒๔๗] อุ. ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กายสักขีๆ ดังนี้

โดยปริยายเพียงเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกายสักขี ฯ

อา. ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ

ปฐมฌาน และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้น

ด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มี-

*พระภาคตรัสกายสักขี ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุ ... บรรลุทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ...

และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วย

อาการนั้นๆ ดูกรอาวุโส โดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัส

กายสักขี ฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุ ... บรรลุอากาสานัญจายตนะ ... และอายตนะนั้น

มีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้องอายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ ดูกร

อาวุโสโดยปริยายแม้เพียงเท่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง ภิกษุ ... เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดย

ประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ และอาสวะทั้งหลายของเธอย่อมสิ้นไป

เพราะเห็นด้วยปัญญา และอายตนะนั้นมีอยู่ด้วยอาการใดๆ เธอย่อมถูกต้อง

อายตนะนั้นด้วยกายด้วยอาการนั้นๆ ดูกรอาวุโส โดยนิปปริยายแม้เพียงเท่านี้แล

พระผู้มีพระภาคตรัสกายสักขี ฯ

จบสูตรที่ ๒ -

--

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสารีบุตร

การที่จะพยากรณ์ในข้อนี้โดยส่วนเดียวว่า บรรดาบุคคล ๓ จำพวกนี้ บุคคลนี้

เป็นผู้งามกว่าและประณีตกว่า ดังนี้ ไม่ใช่จะทำได้โดยง่ายเลย เพราะข้อนี้

เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ บุคคลผู้สัทธาวิมุตตนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระ-

*อรหันต์ บุคคลผู้เป็นกายสักขี ผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ ก็พึงเป็นพระสกทาคามี หรือ

พระอนาคามี ดูกรสารีบุตร การที่จะพยากรณ์ในข้อนี้โดยส่วนเดียวว่า บรรดา

บุคคล ๓ จำพวกนี้ บุคคลนี้เป็นผู้งามกว่าและประณีตกว่า ดังนี้ ไม่ใช่จะทำ

ได้โดยง่ายเลย เพราะข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ บุคคลผู้ทิฏฐิปัตตะ เป็นผู้

ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ บุคคลผู้สัทธาวิมุตตเป็นพระสกทาคามี หรือ

พระอนาคามี และแม้บุคคลผู้กายสักขีก็พึงเป็นพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี

ดูกรสารีบุตร การที่จะพยากรณ์ในข้อนี้โดยส่วนเดียวว่า บรรดาบุคคล ๓ จำพวก

นี้ บุคคลนี้เป็นผู้งามกว่าและประณีตกว่าไม่ใช่จะทำได้โดยง่ายเลย ฯ

จบสูตรที่ ๑ -

--

ท่านพระมหาโกฏฐิตะได้ตอบว่า ข้าแต่ท่านพระ

สารีบุตร บุคคล ๓ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวกเป็นไฉน คือ กาย

สักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ สัทธาวิมุตตบุคคล ๑ บุคคล ๓ จำพวกนี้แล

มีปรากฏอยู่ในโลก บรรดาบุคคล ๓ จำพวกนี้ กระผมชอบใจบุคคลกายสักขี

ซึ่งเป็นผู้งามกว่าและประณีตกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะสมาธินทรีย์ของ

บุคคลนี้มีประมาณยิ่ง



ตอบละครับ...เพราะสมาธินทรีย์ของ

บุคคลนี้มีประมาณยิ่ง



จากคุณ : Chuck

--

ทั้งสามท่านชอบใจไปท่านละอย่าง...

พระบรมศาสดาไม่ได้ตรัสว่าดีกว่า ดีน้อยกว่า...

ก็พ้นทุกข์ได้เหมือนกัน...



จับใจความได้อย่างนี้ครับ...



จากคุณ : Chuck

--

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น