วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุทิศบุญ



#กรวดน้ำไม่มีในพุทธวจน พระศาสดาให้อุทิศบุญ หรือแผ่เมตตา

https://www.youtube.com/watch?v=8xy013fL8a0

#การอุทิศบุญ หรือ แผ่เมตตา..

Cr. คุณคมสัน ห้องแบ่งปันธรรม วัดนาป่าพง

การอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้วายชีพ

พระองค์มีการกล่าวไว้

โดยให้ตั้งจิตของตนไว้ให้ปราศจากอกุศลธรรมอันเป็นบาป(นิวรณ์ ๕)

ผู้ใดมีอกุศลธรรมที่ไปปราศแล้ว(ไม่มีอุกศลเกิดในจิต บรรลุปฐมฌาน)

จิตเขานั้นย่อมปราโมทย์ ผู้มีจิตปราโมทย์ย่อมกิดปิติ

เมื่อจิตของเขาผู้ปราโมทย์อยู่ กายเขานั้นย่อมรำงับ

ผู้มีกายสงบรำงับย่อมเกิดสุข จิตของผู้เป็นสุข

จิตเขาย่อมตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิอันเป็นไปเพื่อสุขในปัจจุบัน

จิตเขานั้นประกอบด้วยเมตตา

แล้วแผ่ไปยังทิศที่ ๑ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔

เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ตลอดโลกธาตุ

-

ด้วยจิตที่เมตตาอันหาประมาณไม่ได้

กำลังของเมตตานั้น

ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่ได้ในขณะนั้น

เปรียบดังบุรุษผู้มีกำลังเป่าสังข์

ย่อมเป่าสังข์ให้ได้ยินแก่ผู้เดินทางไกลทั่วสารทิศโดยไม่ยาก

แม้เขาอยู่ไกลแค่ไหน

หากเสียงสังข์ที่เป่าด้วยกำลังของบุรุษนั้นมากเพียงใด

ผู้เดินทางไกลจากทั่วสารทิศย่อมพึงได้ยินฉันนั้น

ดังนั้นจะสังเกตุว่าพระองค์ให้เตรียมจิตของผู้นั้น

ประกอบจิตให้ตั้งมั่นเป็นหลัก

นั่นคือพระองค์จึงตรัสว่า เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม

เพราะบุคคลมีเจตนาแล้วจึงกระทำกรรมด้วย กาย วาจา ใจ

--

#การให้ทานจะถึงญาติที่ตายหรือไม่



เมื่อบุญกิริยา (ทาน ศีล ภาวนา)

ที่เราผู้อุทิศได้กระทำไว้ดีแล้วให้ผู้อุทิศนั้น

ตั้งจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ๕

(อกุศลธรรมทั้งหลาย ที่จะบังเกิดขึ้นแก่จิต

เป็นเครื่องทำให้จิตถอยกำลัง)

แล้วแผ่เมตตาไปโดยน้อมจิตไปยังผู่ล่วงลับนั้น

ด้วยธรรมดังนี้ว่า

เราต่างเป็นสัตว์ร่วมเกิด แก่ ตาย

ในสังสารวัฏนี้เหมือนกัน

ความพยาบาทใดๆ

ที่มีต่อกันขอให้ทอดทิ้งสิ่งนั้นลงเสีย

ให้เป็นผู้พึ่งตนและธรรม

นำตนพ้นจากสังสารวัฏอันหาที่จบนี้ไม่ได้

-

สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน

เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด

มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

กระทำกรรมใดไว้ดีก็ ตามชั่วก็ตาม

จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น

-

ดังนั้นการกระทำทักษิณาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับนั้น

เพื่อหวังให้เขานั้นได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

เพื่อหวังให้เขานั้น ได้กระทำให้เราเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ไม่มีในคุณธรรมของพระโสดาบัน

เพราะ กรรม คือ สุขและทุกข์นั้น

ไม่มีผู้ใดดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้

-



ส่วนในแง่ของทานที่ได้กระทำเพื่ออุทิสแก่ผู้ล่วงลับนั้น

สามารถสรุปได้ตามพระสูตรของพระศาสดา่ว่า



1. ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมไม่มีไม่ให้ผล

ผลทานที่ให้นั้นไม่สูญเปล่าแก่ทายกนั้น

ผลแห่งทานแม้ไม่มีผู้รับ

ผู้ให้ทานนั้นย่อมได้รับผลแห่งทานนั้นไม่ขาดตกบกพร่องไป



2. ทานที่มีผู้รับ ผู้ให้ย่อมสำเร็จด้วยการให้นั้น



3. สัตว์นรก เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา

ยังอัตภาพแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไปบังเกิดในภพนั้น

ด้วยอาหารของสัตว์นั้นๆ



4.ฐานะแห่งทานอุทิศให้แก่ผู้ตายที่เป็นญาตินั้น

ถ้าผู้นั้นตายไปแล้ว ไปเกิดอยู่ในภูมิของเปรตแล้ว

นั่นเป็นฐานะที่จะได้รับผลแห่งการอุทิศนั้น



5. ไม่มีเลยที่ญาติผู้ล่วงลับของเราที่จะไม่หลงเหลือเป็นเปรตอยู่



6. ผู้ถึงพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐

กับ ผู้ถึงพร้อมด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐

ทั้งสองนั้นเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า...

แต่ผลต่างของ ผู้ถึงพร้อมด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐

เมื่อกายแตกทำลายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ส่วนผู้ถึงพร้อมด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐

เมื่อกายแตกทำลายไปย่อมเข้าถึงกำเนิดเดรัจฉาน

และทานที่ให้นั้นไม่สูญเปล่า(ทั้งสองกรณี)

ทานย่อมให้ผลแก่ขันธ์ทั้งหลาย

อันเป็นที่บังเกิดของอัตภาพนั้นๆของสัตว์เหล่านั้น

-

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน

เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด

สัตว์ย่อมเป็นไปตามกรรม

กรรมเป็นเครื่องรึงรัดสัตว์ให้วนเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ

พระองค์อุปมาเหมือนลิ่มสลักที่ขันยึดรถที่กำลังแล่นไปอยู่

-

พระองค์ก็ทรงตรัสว่าความเป็นผู้ไม่เบียดเบียน

ไม่มีเวร ด้วยการเจริญเมตตาภาวนา

กระทำจิตให้มีกำลัง มีจิตประกอบไปด้วยเมตตา

แผ่ไปตลอดทั่วสารทิศ หาประมาณไม่ได้

-

การแผ่เมตตา กระทำเพื่อละพยาบาท ไม่มีเวร ไม่ใช่กระทำเพื่อสิ่งอื่นใด

ไม่ใช่เป็นการขอร้องอ้อนวอนให้สิ่งนั้นๆจงเกิด สิ่งนั้นขออย่าได้เกิด

สิ่งนั้นๆทั้งเกิดและไม่เกิดแก่สัตว์ทั้งหลายเลย ดังนี้

-

การอุทิศทักษิณาทาน

กระทำเพื่อความอนุเคราะห์เกื้อกูลกันและกัน

เพราะเหล่าสัตว์ทั้งหลายนั้น

ย่อมถูกต้องด้วยผัสสะทั้งหลายอยู่

ผัสสะย่อมเป็นเหตุเกิดของธรรมทั้งหลาย

กรรมนั้นมีผัสสะเป็นแดนเกิด

เมื่อมนุษย์มีจิตเจตนากระทำกรรม

ด้วยผัสสะที่ให้ผลเป็นเวทนาที่ดี

ด้วยสัตว์ฺถูกผัสสะนั้นบังหน้า

สัตว์ทั้งหลายซึ่งยังเป็นผู้หลงอยู่ซึ่งผัสสะ(ที่ดีของมนุษย์นั้น)

ย่อมรับเวทนาที่ดีอันเป็นผลของผัสสะที่มนุษย์นั้นกระทำ

ให้ย่อมตอบสนองด้วยผัสสะที่ดีของสัตว์นั้นแก่มนุษย์

เช่นกัน

นี้เป็นการเ้กื้อกูลกันและกัน

ด้วยเหตุแห่งสัตว์ผู้หลงอยู่ในผัสสะทั้งหลายนั้น

-

สัตว์ทั้งหลายนี้ ถึงอยู่ด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลกัน

บิดามารดาเกื้อกูลต่อบุตร บุตรเกื้อกูลต่อบิดามารดา

อาจาย์เกื้อกูลต่อศิษฐ์ ศิษฐ์เกื้อกูลต่ออาจารย์

มนุษย์เกื้อกูลต่อสัตว์ สัตว์เกื้อกูลต่อมนุษย์

มนุษย์เกื้อกูลต่อเทวดา และเทวดาเกื้อกูลตอมนุษย์ เป็นต้น

-

พระศาสดาอุปมาเหมือนมารดาอนุเคราะห์แก่บุตรผู้เกิดในอก ฉันนั้น

-

พระองค์เคยตรัสปัญหานี้แก่ชาณุสโสณีพราหมณ์

ที่ทักษิณาทานที่อุทิศแก่ญาติผู้ล่วงลับ

จะถึงแก่ผู้รับด้วยอฐานะ

(คือทานนั้นไม่สำเร็จแก่ สัตว์นรก สัตว์ดิรัจฉาน มนุษย์ เทวดา)

 และฐานะ (คือทานนั้นสำเร็จแก่ เปรต)

-

และเมื่อผลของทานนั้นผลิผล

สัตว์ทั้งหลายย่อมได้รับผลแห่งทานนั้น

ที่สัตว์เหล่านั้นกระทำด้วยกาย วาจา ใจในกาลก่อน

หาใช่จากการได้รับโดยการอุทิศบุญกุศลของผู้อุทิศไปให้ไม่

ยกเว้นญาติที่เป็นเปรต(หรือญาติเหล่าอื่นที่เป็นเปรต) เท่านั้น

ที่ผู้ทำทานจะต้องแสดง ‘ปัตติทานมัย’

คือ ให้ส่วนบุญนั้นแก่ผู้ตาย

และผู้ตายที่เป็นเปรตก็จะต้องแสดง

‘ปัตตานุโมทนามัย’

คือพร้อมที่จะรับส่วนบุญนั้นด้วย

-

(ชาณุสโสณีสูตร ๒๔/๒๗๗)



บุคคลใดกระทำซึ่ง กายกรรมทุจริต วจีกรรมทุจริต มโนกรรมทุจริต

อันเป็นไปเพื่อโลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหตุ

กรรมนั้นย่อมให้ผลในขันธ์ทั้งหลาย

อันเป็นที่บังเกิดแก่อัตภาพของเขานั้น

กรรมนั้นให้ผลในอัตภาพใด

เขาย่อมเสวยวิบากของกรรมนั้นในอัตภาพนั้น

แต่เขานั้นเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ  ผ้า ยาน ...

ประทีปแก่สมณะทั้งหลายไว้ก่อน

เมื่อเขาละจากอัตภาพนั้นไป

ไปบังเกิดในอัตภาพใหม่ เขาย่อมได้ทานที่เขากระทำไว้

หากไปเกิดในนรก ก็มีอาหารของสัตว์นรก

หากไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็มีอาหารของสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น

-

นัยกลับกัน หากบุคคลใดมี

กายกรรมสุจริต วจีกรรมสุจริต มโนกรรมสุจริต

แต่เขานั้นเป็นผู้ให้ทานคือข้าว น้ำ  ผ้า ยาน ...

ประทีปแก่สมณะทั้งหลายไว้ก่อน

เมื่อเขาละจากอัตภาพนั้นไป แล้วบังเกิดในอัตภาพใหม่

เขาย่อมได้ทานที่เขากระทำไว้

หากไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีอาหารของมนุษย์

(เบญจกามคุณของมนุษย์)

หากไปเกิดเป็นเทวดา ก็มีอาหารของเทวดา

(เบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ของเทวดา)

-

ทานย่อมผลิผลแก่ผู้ให้ทานด้วยการกระทำทาง กาย วาจา ใจ

อันเป็นที่บังเกิดของอัตภาพ

และให้ผลในขันธ์ทั้งหลายด้วยเหตุดังนี้

--

พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องเปรต

ที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารว่า

ทานที่พระเจ้าพิมพิสารถวายนั้นให้สำเร็จที่เจตนาอุทิศ

ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของพระองค์จงเป็นสุข

ไม่ทรงมีการอุทิศโดยการกรวดน้ำแต่อย่างไร

-

ขอให้ศึกษาเพิ่มเติมในพระสูตร

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ หัวข้อ ๖๓

-

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย

วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา หัวข้อ ๙๐

-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น