วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

‪#‎อย่าได้ถือประมาณในบุคคล‬ มิคสาลาสูตร มีความลึกซึ่ง ละเอียด ระดับสัมมาสัมพุทธะจะรู้ได้ ‪#‎แต่การประมาณในบุคคลได้ระดับหนึ่ง‬.



‪#‎อย่าได้ถือประมาณในบุคคล‬ มิคสาลาสูตร
มีความลึกซึ่ง ละเอียด ระดับสัมมาสัมพุทธะจะรู้ได้
‪#‎แต่การประมาณในบุคคลได้ระดับหนึ่ง‬.
..บัณฑิตย่อมเห็นบัณฑิต..คนพาลย่อมเห็นคนพาล..
.คนพาลมีกรรมเป็นเครื่องหมาย ..บัณฑิตมีกรรมเป็นเครื่องหมาย..
..สามพระสูตร..
ประมาณนาทีที่ 55.42 https://www.youtube.com/watch?v=iKw6j3qNmaQ
‪#‎ข้อความบางตอนจากมิคสาลาสูตร‬
ดูก่อนอานนท์ อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
มีความโกรธและความ ถือตัว บางครั้งบางคราว
โลภธรรมย่อมเกิดแก่เขา
เขาได้กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง
ได้กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต
ได้แทงตลอดแม้ด้วยทิฏฐิ
-
ย่อมได้วิมุตติแม้ที่เกิดในสมัย
เมื่อตายไปแล้ว
เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม
เป็นผู้ถึงทางเจริญ ไม่เป็นผู้ถึงทางเสื่อม ฯลฯ
......... ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้
ใครเล่านอกจากตถาคตจะพึงรู้เหตุนั้น
เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล
และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล
เพราะผู้ถือประมาณในบุคคล
ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน
เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯลฯ
--
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกายฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 659
--
‪#‎ธรรมอะไรเป็นเครื่องหมายบอกว่าเป็นพาลหรือบัณฑิต‬?
พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คนพาลมีกรรมเป็นเครื่องกำหนด
บัณฑิตมีกรรมเป็นเครื่องกำหนดปัญญา
ย่อมแสดงออกในความประพฤติของคน...
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
พึงทราบว่า เป็นคนพาล
ธรรม ๓ ประการคืออะไร
กายทุจริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑...
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต
ธรรม ๓ ประการ คือ อะไร
คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑....”
ลักขณสูตร ติก. อํ. (๔๔๑)
--
‪#‎ประมาณบุคคลได้ระดับหนึ่ง‬
‪#‎สัตบุรุษย่อมเห็นสัตบุรุษ‬ , อสัตบุรุษ
จูฬปุณณมสูตร (๑๑๐)
[๑๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกา
วิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม
เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม
ประทับนั่งกลางแจ้ง
ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ วันนั้น
เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ฯ
-
[๑๓๑] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดู
ภิกษุสงฆ์ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ
จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-
อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษหรือไม่หนอ ฯ
-
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ
ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อสัตบุรุษจะพึง
รู้จักสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษไหมเล่า ฯ
-
ภิ. ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ
แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ฯ
-
[๑๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วย
ธรรมของอสัตบุรุษ
ภักดีต่ออสัตบุรุษ
มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ
มีความรู้อย่างอสัตบุรุษ
มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษ
มีการงานอย่างอสัตบุรุษ
มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษ
ย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อสัตบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วย
ธรรมของอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ
มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม
มีปัญญาทราม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้ภักดีต่ออสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
มีสมณพราหมณ์ชนิดที่ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ
มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม
มีปัญญาทราม เป็นมิตร เป็นสหาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ภักดีต่ออสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมคิดเบียดเบียนตนเองบ้าง
คิดเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าง
นี้แล อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมรู้เพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้รู้อย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มักพูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ เจรจาเพ้อเจ้อ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีการงานอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ มักเป็นผู้ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง
มักถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
มักประพฤติผิดในกาม
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีการงานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี
ทำชั่วแล้ว ไม่มี
โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มี บิดาไม่มี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
-
ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยไม่เคารพ
ให้ทานไม่ใช่ด้วยมือของตน
ทำความไม่อ่อนน้อมให้ทาน
ให้ทานอย่างไม่เข้าใจ
เป็นผู้มีความเห็นว่าไร้ผล ให้ทาน
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษนั่นแหละ
-
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของอสัตบุรุษอย่างนี้
ภักดีต่ออสัตบุรุษอย่างนี้
มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีความรู้อย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีการงานอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
ให้ทานอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
-
แล้ว เมื่อตายไป ย่อมบังเกิดในคติของอสัตบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คติของอสัตบุรุษคืออะไร
คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ฯ
-
[๑๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษหรือไม่หนอ ฯ
-
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า รู้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษไหมเล่า ฯ
-
ภิ. รู้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ แม้ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ นั่นก็เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
-
[๑๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ
ภักดีต่อสัตบุรุษ
มีความคิดอย่างสัตบุรุษ
มีความรู้อย่างสัตบุรุษ
มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ
มีการงานอย่างสัตบุรุษ
มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ
ย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ
มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษอย่างไร
คือสัตบุรุษในโลกนี้ มีสมณพราหมณ์ชนิดที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ
มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา
เป็นมิตร เป็นสหาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนเอง
ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมไม่รู้เพื่อเบียดเบียนตนเอง
ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ
งดเว้นจากคำพูดส่อเสียด งดเว้นจากคำหยาบ
งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกมีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือสัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยเคารพ
ทำความอ่อนน้อมให้ทาน ให้ทานอย่างบริสุทธิ์
เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษนั่นแหละ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษอย่างนี้
ภักดีต่อสัตบุรุษอย่างนี้
มีความคิดอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีความรู้อย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีการงานอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
ให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างนี้แล้ว
-
เมื่อตายไป ย่อมบังเกิดในคติของสัตบุรุษ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คติของสัตบุรุษคืออะไร
คือ ความเป็นผู้มีตนควรบูชาในเทวดา
หรือความเป็นผู้มีตนควรบูชาในมนุษย์ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ จูฬปุณณมสูตร ที่ ๑๐
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๘๕ ข้อที่ ๑๓๐ - ๑๓๑
--
http://etipitaka.com/read/thai/14/85/…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น