วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พุธวจน การได้พระอนาคามี ๕ ระดับ ภายหลังกายแตกทำลาย



**การได้พระอนาคามี ๕ ระดับ ภายหลังกายแตกทำลาย**

********************************************************

ประมาณนาที ที่ 1.46 https://www.youtube.com/watch?v=Kt5wVUwN868

‪#‎อนาคามี‬ ๕ จำพวก

พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑

พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑

พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ๑

พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี ๑

พระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑

ประมาณนาทีที่ 1.00.55 https://www.youtube.com/watch?v=f7-tnESegNg

ปุริสคติสูตร

[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปุริสคติ ๗ ประการ

และอนุปาทาปรินิพพาน

เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง

จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูล

รับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปุริสคติ๗ ประการเป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้

คือ ได้ความวางเฉยว่า

ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา

ถ้ากรรมในปัจจุบันไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา

เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้

เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต

ไม่ข้องในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต

ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่ ด้วยปัญญาอันชอบ

ก็บทนั้นแล ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง

อนุสัยคือมานะ อนุสัยคือภวราคะ อนุสัยคืออวิชชา

เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง

-

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

ภิกษุนั้นย่อมปรินิพพานในระหว่าง

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้

คือ ได้ความวางเฉยว่า

ถ้ากรรมในอดีตไม่มีแล้วไซร้ ... เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่

ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้

เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์ อันเป็นอดีต ...

ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่

ด้วยปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล

ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง

อนุสัยคือมานะ ...อนุสัยคืออวิชชา

เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์๕ สิ้นไป

เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง

เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก

ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออกแล้วดับไป ฉะนั้น ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง

เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน

สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกยังไม่ถึงพื้นก็ดับ ฉะนั้น ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

เธอย่อมปรินิพพานในเมื่ออายุเลยกึ่ง

เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน

สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกถึงพื้นแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

เธอย่อมปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก

เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน

สะเก็ดร่อนขึ้นไปแล้วตกลงที่กองหญ้า

หรือกองไม้เล็กๆ สะเก็ดนั้นพึงให้ไฟและควันเกิดขึ้นได้ที่หญ้า

หรือกองไม้เล็กๆ นั้น ครั้นให้เกิดไฟและควัน

เผากองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ

นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

เธอย่อมปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง

เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน

สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป แล้วพึงตกลงที่กองหญ้า

หรือกองไม้ย่อมๆ สะเก็ดนั้นพึงให้เกิดไฟ

และควันที่กองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้น

ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว เผากองหญ้าหรือกอง

ไม้ย่อมๆ นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วดับ ฉะนั้น ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ

เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป

-

เธอเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ

เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน

สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้า

หรือกองไม้ใหญ่ๆ ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว

เผากองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ นั้นให้หมดไป

แล้วพึงลามไปไหม้ไม้กอและป่าไม้

ครั้นไหม้ไม้กอและป่าไม้แล้ว

ลามมาถึงที่สุดหญ้าเขียว ที่สุดภูเขาที่สุดชายน้ำ

หรือภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ หมดเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ปุริสคติ๗ ประการนี้แล ฯ

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอนุปาทาปรินิพพานเป็นอย่างไร

ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ

ย่อมได้ความวางเฉยว่า

ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา

ถ้ากรรมในปัจจุบันย่อมไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา

เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้

เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต

ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต

ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งด้วยปัญญาอันชอบ

ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำให้แจ้งแล้ว โดยอาการทั้งปวง

อนุสัยคือมานะ ... อนุสัยคืออวิชชา เธอยังละ ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง

-

เธอย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ

อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป

ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า

อนุปาทาปรินิพพาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการนี้

และอนุปาทาปรินิพพาน ฯ

จบสูตรที่ ๒

-

พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓

สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

หน้าที่ ๖๒ ข้อที่ ๕๒

-

-อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมจาก โปรแกรม E-Tipitaka ;

link ; http://etipitaka.com/read/thai/23/62/…

--

บุคคล ๔ จำพวก



[๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน

คือ บุคคลบางคนในโลกนี้



๑. เป็น สังขารปรินิพพายี จะปรินิพพาน

ด้วย ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง ในปัจจุบันเทียว

( บาลี : ทิฏฺเฐว ธมฺเม สสงฺขารปรินิพฺพายี )



๒. บางคนเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี

( บาลี : กายสฺส เภทา สสงฺขารปรินิพฺพายี )



๓. บางคนเป็น อสังขารปรินิพพายี จะปรินิพพาน

ด้วย ไม่ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง ในปัจจุบัน

( บาลี : ทิฏฺเฐว ธมฺเม อสงฺขารปรินิพฺพายี )



๔. บางคนเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี

( บาลี : กายสฺส เภทา อสงฺขารปรินิพฺพายี )



๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบันอย่างไร



ภิกษุในธรรมวินัยนี้

● พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม

● มีความสำคัญในอาหารว่าปฏิกูล

● มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี

● พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยง

● และมรณสัญญาของเธอตั้งอยู่ดีแล้วในภายใน



● เธออาศัยธรรมเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้อยู่ คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ วิริยะ ปัญญา

● ทั้งอินทรีย์๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของ

เธอปรากฏว่าแก่กล้า



● เธอย่อมเป็น สสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันเทียว

● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ แก่กล้า



ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็น สสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันอย่างนี้แล ฯ



๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี อย่างไร



ภิกษุในธรรมวินัยนี้

● พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม ฯลฯ



● อินทรีย์ ๕ ประการคือ สัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ...ของเธอปรากฏว่าอ่อน



● เธอเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี

● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อ่อน



ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีอย่างนี้แล ฯ



๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็น อสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน อย่างไร



ภิกษุในธรรมวินัยนี้

● สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ

● บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

● บรรลุตติยฌาน ฯลฯ

● บรรลุจตุตถฌาน



● เธออาศัยธรรมเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ ศรัทธา ... ปัญญา



● อินทรีย์๕ ประการนี้ คือสัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่า แก่กล้า



● เธอเป็น อสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบัน

● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า



ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็น อสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันอย่างนี้แล ฯ



๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี อย่างไร



ภิกษุในธรรมวินัยนี้

● สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ

● บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

● บรรลุตติยฌาน ฯลฯ

● บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ



● แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้คือ สัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่า อ่อน



● เธอเมื่อกายแตกจึงเป็นอสังขารปรินิพพายี

● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน



ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี อย่างนี้แล



ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ



__________



พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๑

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

หน้าที่ ๑๔๗/๒๔๐ ข้อที่ ๑๖๙.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น