วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558
สนทนาธรรมเช้าวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2558
#สัญญา อยู่ตรงไหนของปฏิจจสมุปบาท
#การอาศัยกันและกันเกิดขึ้นของ วิญญาณ กับ นามรูป (อย่างละเอียด)
ประมาณนาทีที่ <<10.50>> https://www.youtube.com/watch?v=dJQeNGSF9kg
***ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น***
**********************************
ภิกษุ ท. ! ผู้เข้าไปหา... เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;
ผู้ไม่เข้าไปหา...เป็นผู้หลุดพ้น.
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอารูป
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
เป็นวิญญาณ ที่มีรูปเป็นอารมณ์
มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาเวทนา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้.
เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสัญญา
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย
มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;
ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสังขาร
ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,
เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย
มีนันทิ(ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ
ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.
ภิกษุ ท. ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า
“เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ
โดยเว้นจากรูป
เว้นจากเวทนา
เว้นจากสัญญา
และเว้นสังขาร” ดังนี้นั้น,
นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ภิกษุ ท. ! ถ้าราคะในรูปธาตุ
ในเวทนาธาตุ
ในสัญญาธาตุ
ในสังขารธาตุ
ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว ; เพราะละราคะได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี.
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง ;
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง ;
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว ;
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ;
ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ดังนี้.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑
ภาค ๓ ว่าด้วย นิโรธอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์
หน้าที่ ๖๘๓
***********************
#กระจายเสียซึ่งผัสสะ
#พิจารณาองค์ประกอบของผัสสะให้เห็นตามความเป็นจริง
#พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
#อริยสาวก #ไม่ยุบ #ไม่ก่อ
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณย่อมมีขึ้น เพราะอาศัยธรรมสองอย่าง.
สองอย่างอะไรเล่า ? สองอย่าง คือ
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะอาศัยซึ่งจักษุด้วย ซึ่งรูปทั้งหลายด้วย จักขุวิญญาณจึงเกิดขึ้น.
จักษุเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
รูปทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้งสองอย่างนี้แลเป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย
ไม่เที่ยงมีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
จักขุวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ,
แม้เหตุอันนั้นแม้ปัจจัยอันนั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้ จักขุวิญญาณเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความประจวบพร้อม ความประชุมพร้อม
ความมาพร้อมกันแห่งธรรมทั้งหลาย (จักษุ + รูป + จักขุวิญญาณ)
๓ อย่างเหล่านี้ อันใดแล;
ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่าจักขุสัมผัส.
ภิกษุทั้งหลาย ! แม้จักขุสัมผัสก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งจักขุสัมผัส,
แม้เหตุอันนั้น แม้ปัจจัยอันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! จักขุสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้
จักขุสัมผัสจักเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.
(ในกรณีแห่งโสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ,
ก็มีนัยเดียวกัน).
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะอาศัยซึ่งมโนด้วย ซึ่งธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย
มโนวิญญาณจึงเกิดขึ้น.
มโนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น :
ธรรมทั้งสองอย่างนี้แลเป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วย อาพาธด้วย
ไม่เที่ยงมีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
มโนวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น;
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมโนวิญญาณ,
แม้เหตุอันนั้น แม้ปัจจัยอันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! มโนวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้
มโนวิญญาณเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.
ความประจวบพร้อม ความประชุมพร้อม
ความมาพร้อมกัน แห่งธรรมทั้งหลาย
(มโน + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) ๓ อย่างเหล่านี้อันใดแล;
ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เราเรียกว่า มโนสัมผัส.
ภิกษุทั้งหลาย ! แม้มโนสัมผัสก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
เหตุอันใดก็ตาม ปัจจัยอันใดก็ตาม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมโนสัมผัส,
แม้เหตุอันนั้น แม้ปัจจัยอันนั้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง
มีความแปรปรวน มีความเป็นไปโดยประการอื่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! มโนสัมผัสเกิดขึ้นแล้ว
เพราะอาศัยปัจจัยที่ไม่เที่ยงดังนี้
มโนสัมผัสจักเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน.
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลที่ผัสสะกระทบแล้วย่อมรู้สึก (เวเทติ),
ผัสสะกระทบแล้วย่อมคิด (เจเตติ),
ผัสสะกระทบแล้วย่อมจำได้หมายรู้ (สญฺชานาติ):
แม้ธรรมทั้งหลายอย่างนี้เหล่านี้
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หวั่นไหวด้วยอาพาธด้วย
ไม่เที่ยงมีความแปรปรวนมีความเป็นไปโดยประการอื่น.
_สฬา. สํ. ๑๘/๘๕/๑๒๔-๗.
หนังสือ พุทธวจน อินทรียสังวร หน้า ๙๐-๙๓
__________________
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น