วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559
สนทนาธรรมเช้าวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2559 HD 1080P
#การฟังธรรมก่อนตายละสังโยชน์๕ ได้ กับ..๕ พระสูตร..ที่สอดรับกัน
(((เจริญโพชฌงค์ ๗ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ อานาปานสติ.)))
*******************************************************************************************************************************
#ทิฏฐิดับ ความสงสัยในสิ่งที่เราไม่พยากรณ์จึงไม่เกิดขึ้นแก่อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว..
((ทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นการที่เราคิด เรานึก เรารู้สึก ขึ้นมา นั่นคือ ภพ..นั่นเอง.รู้จัก ความดับแห่งภพ ความดับแห่งกรรม..ก็จะไม่สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่พยากรณ์..เพราะความเห็น.มีเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป..รู้หลักการ..ภาพรวม..))
กลายเป็นสงสัยในพระพุทธเจ้าอีก อยู่ในฝั่ง ฝ่ายปุถุชน
--
อัพยากตสูตร
[๕๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย
เครื่องให้ความสงสัยในวัตถุที่พระองค์ไม่ทรงพยากรณ์
ไม่เกิดขึ้นแก่
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ฯ
-
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
เพราะทิฐิดับ ความสงสัยในวัตถุที่เราไม่พยากรณ์
จึงไม่เกิดขึ้นแก่อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
-
ดูกรภิกษุ ทิฐินี้ว่า
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้
-
ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับย่อม
ไม่รู้ชัดทิฐิ
เหตุเกิดทิฐิ
ความดับทิฐิ
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับทิฐิ
-
ทิฐินั้นเจริญแก่ปุถุชนนั้น
เขาย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ย่อมทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า
ไม่พ้นไปจากทุกข์
-
ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
ย่อมรู้ชัดทิฐิ
เหตุเกิดทิฐิ
ความดับทิฐิ
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับทิฐิ
-
ทิฐิของอริยสาวกนั้นย่อมดับ
อริยสาวกนั้นย่อมพ้น
-
จากชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส
เรากล่าวว่า
ย่อมพ้นไปจากทุกข์
-
ดูกรภิกษุอริยสาวกผู้ได้สดับ
รู้เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่พยากรณ์ว่า
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก ...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้
-
ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับ
รู้เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเป็นผู้ไม่พยากรณ์
ในวัตถุที่เราไม่พยากรณ์เป็นธรรมดาอย่างนี้
-
อริยสาวกผู้ได้สดับ
รู้เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมไม่พรั่น ไม่หวั่น ไม่ไหว
ไม่ถึงความสะดุ้งในวัตถุที่เราไม่พยากรณ์ ฯ
-
ดูกรภิกษุ
ความทะยานอยาก
ความหมายรู้
ความสำคัญ
ความซึมซาบ
ความถือมั่น
ว่า
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก ...
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้
นี้เป็นความเดือดร้อน
-
ดูกรภิกษุ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อม
ไม่รู้ชัดความเดือดร้อน
เหตุเกิดความเดือดร้อน
ความดับ ความเดือดร้อน
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับความเดือดร้อน
-
ความเดือดร้อนย่อมเจริญแก่เขา
เขาย่อมไม่พ้นไปจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
-
เรากล่าวว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
-
ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อม
รู้ชัดความเดือดร้อน
เหตุเกิดความเดือดร้อน
ความดับความเดือดร้อน
ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับความเดือดร้อน
ความเดือดร้อนของอริยสาวกนั้นย่อมดับ ฯลฯ
-
อริยสาวกผู้ได้สดับ
รู้เห็นอยู่อย่างนี้แล ย่อม
ไม่พรั่น ไม่หวั่น ไม่ไหว
ไม่ถึงความสะดุ้งในวัตถุที่เราไม่พยากรณ์
-
ดูกรภิกษุนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัญ
เครื่องให้ถึงความสงสัยในวัตถุ
ที่เราไม่พยากรณ์
ไม่เกิดขึ้นแก่อริยสาวกผู้ได้สดับ ฯ
---
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
หน้าที่ ๖๑ ข้อที่ ๕๑
******************************************************************************************************************************************************************
#ฟังธรรมละสังโยชน์๕ได้
#อานิสงส์การเจริญโพชฌงค์
[๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มาก
แล้วอย่างนี้ ผลานิสงส์ ๗ ประการ
อันเธอพึงหวังได้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน?
-
[๓๘๒] คือ
(๑)
ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน
(๒)
ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ ทีนั้น
จะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย
(๓)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๔)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๕)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอานาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๖)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๗)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ สิ้นไป
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้.
จบ สูตรที่ ๓
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๙๗ ข้อที่ ๓๘๑ - ๓๘๒
http://etipitaka.com/read/thai/19/96/?keywords=%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%20%E0%B9%97
----
#เจริญอินทรีย์ ๕ ได้อานิสงส์ ๗ ประการ
[๑๐๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านี้
อินทรีย์ ๕ เป็นไฉน? คือ
สัทธินทรีย์
ฯลฯ
ปัญญินทรีย์
อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว
พึงหวังผลานิสงส์ได้ ๗ ประการ ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน?
คือ
-
จะได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อน ๑
ถ้าไม่ได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อนจะได้ชมเวลาใกล้ตาย ๑
ถ้าปัจจุบันก็ไม่ได้ชม ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้ชมไซร้ ทีนั้นจะได้เป็น
พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑
ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑
ผู้อสังขารปรินิพพายี ๑
ผู้สสังขารปรินิพพายี ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑
-
เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่านี้แล
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
พึงหวัง ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้.
จบ สูตรที่ ๖
---
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๒๕๗ ข้อที่ ๑๐๖๙
----
#อิทธิบาท ๔ ว่าด้วยผลานิสงส์ ๗
[๑๒๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท ๔ เหล่านี้
อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วย
ฉันทสมาธิและปธานสังขาร
...
วิริยสมาธิ
...
จิตตสมาธิ
...
วิมังสาสมาธิ
และปธานสังขาร
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.
-
[๑๒๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ
ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้
แล ภิกษุพึงหวังได้ผลานิสงส์ ๗ ประการ
ผลานิสงส์ ๗ ประการ เป็นไฉน? คือ
-
จะได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อน ๑
ถ้าไม่ได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อน จะได้ชมเวลาใกล้ตาย ๑
ถ้าในปัจจุบันไม่ได้ชม ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้ชมไซร้ เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑
ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑
ผู้อสังขารปรินิพพายี ๑
ผู้สสังขารปรินิพพายี ๑
ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ
ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล
ภิกษุพึงหวังได้ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้.
จบ สูตรที่ ๕
---
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๒๙๕ ข้อที่ ๑๒๑๘ - ๑๒๑๙
---
http://etipitaka.com/read/thai/19/295/?keywords=%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%20%E0%B9%97%20%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%20%E0%B9%94
---
#อานาปานสติ
ผลานิสงส์การเจริญอานาปานสติ ๗ ประการ
[๑๓๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.
-
[๑๓๑๕] ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก
มีอานิสงส์มาก? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
(พึงขยายเนื้อความให้พิสดารตลอดถึง
ย่อมศึกษาว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจเข้า)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก.
[๑๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติ
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
พึงหวังได้ผลานิสงส์ ๗ ประการ
ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน? คือ
-
จะได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อน ๑
ถ้าไม่ได้ชมอรหัตผลในปัจจุบันก่อน จะได้ชมในเวลาใกล้ตาย ๑
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้ชม ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้ชมไซร้ เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑
ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑
ผู้อสังขารปรินิพพายี ๑
ผู้สสังขารปรินิพพายี ๑
ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออานาปานสติ
อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
พึงหวังได้ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้.
จบ สูตรที่ ๕
----
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๓๒๑ ข้อที่ ๑๓๑๔ - ๑๓๑๕
----
https://www.youtube.com/watch?v=9GZ_LsJ5F_Y&feature=share
----
#ฟังธรรมละสังโยชน์๕ได้
ปุริสคติสูตร
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงปุริสคติ ๗ ประการและอนุปาทาปรินิพพาน
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-
ก็ปุริสคติ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ
-
ได้ความวางเฉยว่า
-
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้
อัตตภาพในปัจจุบัน ก็ไม่พึงมีแก่เรา
-
ถ้ากรรมในปัจจุบันไม่มีไซร้
อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว
เราย่อมละได้
-
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่
ด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล
-
ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ
อนุสัยคือภวราคะ
อนุสัยคืออวิชชา
เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#ภิกษุนั้นย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ
-
ได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่มีแล้วไซร้ ...
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว
เราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
...
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่
ด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล
-
ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ
...
อนุสัยคืออวิชชา
เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เพราะ
โอรัมภาคิยสังโยชน์๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่น
เหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนออกแล้วดับไป ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้
ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกยังไม่ถึงพื้นก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้
ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในเมื่ออายุเลยกึ่ง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป
ตกถึงพื้นแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพาน
โดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตี
แผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนขึ้นไปแล้วตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ
สะเก็ดนั้นพึงให้ไฟและควันเกิดขึ้นได้ที่หญ้าหรือกองไม้เล็กๆ นั้น
ครั้นให้เกิดไฟและควันเผากองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆนั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง
--
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้
ย่อมๆ สะเก็ดนั้นพึงให้เกิดไฟและควันที่กองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้น ครั้นให้เกิดไฟและ ควันแล้ว
เผากองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้นให้หมดไป
ไม่มีเชื้อแล้วดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ
-
เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ
ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว เผากองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ นั้นให้หมดไป แล้วพึงลามไปไหม้อย่างนี้ คือ
-
ได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่มีแล้วไซร้
...
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่
ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
...
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่
ด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล
ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ
...
อนุสัยคืออวิชชา
เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนออกแล้วดับไป ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป
ตกยังไม่ถึงพื้นก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานในเมื่ออายุเลยกึ่ง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกถึงพื้นแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนขึ้นไปแล้วตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้เล็กๆ สะเก็ดนั้นพึงให้ไฟ
และควันเกิดขึ้นได้ที่หญ้าหรือกองไม้เล็กๆ นั้น
ครั้นให้เกิดไฟและควันเผากองหญ้า
หรือกองไม้เล็กๆนั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอย่อมปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง
-
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้ย่อมๆ สะเก็ดนั้นพึงให้เกิดไฟ
และควันที่กองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้น
ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว
เผากองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้นให้หมดไป
ไม่มีเชื้อแล้วดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
#เธอเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ
-
เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่น
เหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้ใหญ่ๆ ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว
เผากองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ นั้นให้หมดไป
แล้วพึงลามไปไหม้
ไม้กอและป่าไม้ครั้นไหม้ไม้กอและป่าไม้แล้ว
ลามมาถึงที่สุดหญ้าเขียว ที่สุดภูเขาที่สุดชายน้ำ
หรือภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ หมดเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการ
นี้แล ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วน
#อนุปาทาปรินิพพานเป็นอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ
-
ย่อมได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้
อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา
ถ้ากรรมในปัจจุบันย่อมไม่มีไซร้
อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่ง
ด้วยปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล
อันภิกษุนั้นทำให้แจ้งแล้ว
โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ
...
อนุสัยคืออวิชชา
เธอยังละ ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เธอย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอนุปาทาปรินิพพาน
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการนี้
และอนุปาทาปรินิพพาน ฯ
จบสูตรที่ ๒
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
หน้าที่ ๖๒ ข้อที่ ๕๒
------
------
------
#สัตบุรุษย่อมเห็นสัตบุรุษ , อสัตบุรุษ
จูฬปุณณมสูตร (๑๑๐)
[๑๓๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกา
วิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม
เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม
ประทับนั่งกลางแจ้ง
ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ วันนั้น
เป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ฯ
-
[๑๓๑] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดู
ภิกษุสงฆ์ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ
จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
-
อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษหรือไม่หนอ ฯ
-
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ
ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อสัตบุรุษจะพึง
รู้จักสัตบุรุษว่า ผู้นี้เป็นสัตบุรุษไหมเล่า ฯ
-
ภิ. ข้อนี้หามิได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ
แม้ข้อที่อสัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นก็ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ฯ
-
[๑๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วย
ธรรมของอสัตบุรุษ
ภักดีต่ออสัตบุรุษ
มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ
มีความรู้อย่างอสัตบุรุษ
มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษ
มีการงานอย่างอสัตบุรุษ
มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษ
ย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อสัตบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วย
ธรรมของอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ
มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม
มีปัญญาทราม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้ภักดีต่ออสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
มีสมณพราหมณ์ชนิดที่ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ
มีสุตะน้อย เกียจคร้าน มีสติหลงลืม
มีปัญญาทราม เป็นมิตร เป็นสหาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ภักดีต่ออสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมคิดเบียดเบียนตนเองบ้าง
คิดเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่าง
นี้แล อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมรู้เพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้รู้อย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มักพูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ เจรจาเพ้อเจ้อ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีการงานอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ มักเป็นผู้ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง
มักถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้
มักประพฤติผิดในกาม
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีการงานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษอย่างไร คือ
อสัตบุรุษในโลกนี้
เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี
ทำชั่วแล้ว ไม่มี
โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มี บิดาไม่มี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
-
ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษอย่างไร
คือ อสัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยไม่เคารพ
ให้ทานไม่ใช่ด้วยมือของตน
ทำความไม่อ่อนน้อมให้ทาน
ให้ทานอย่างไม่เข้าใจ
เป็นผู้มีความเห็นว่าไร้ผล ให้ทาน
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
อสัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างอสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสัตบุรุษนั่นแหละ
-
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของอสัตบุรุษอย่างนี้
ภักดีต่ออสัตบุรุษอย่างนี้
มีความคิดอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีความรู้อย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีถ้อยคำอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีการงานอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
มีความเห็นอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
ให้ทานอย่างอสัตบุรุษอย่างนี้
-
แล้ว เมื่อตายไป ย่อมบังเกิดในคติของอสัตบุรุษ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คติของอสัตบุรุษคืออะไร
คือ นรก หรือกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ฯ
-
[๑๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษหรือไม่หนอ ฯ
-
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า รู้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นสัตบุรุษ นั่นเป็นฐานะที่มีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษไหมเล่า ฯ
-
ภิ. รู้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
-
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละ แม้ข้อที่สัตบุรุษจะพึงรู้จักอสัตบุรุษว่า
ผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ นั่นก็เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
-
[๑๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ
ภักดีต่อสัตบุรุษ
มีความคิดอย่างสัตบุรุษ
มีความรู้อย่างสัตบุรุษ
มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ
มีการงานอย่างสัตบุรุษ
มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ
ย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ
มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษอย่างไร
คือสัตบุรุษในโลกนี้ มีสมณพราหมณ์ชนิดที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ
มีสุตะมาก มีความเพียรปรารภแล้ว มีสติตั้งมั่น มีปัญญา
เป็นมิตร เป็นสหาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้ภักดีต่อสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้
ย่อมไม่คิดเบียดเบียนตนเอง
ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่คิดเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความคิดอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมไม่รู้เพื่อเบียดเบียนตนเอง
ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
ไม่รู้เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองฝ่าย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้อย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากการพูดเท็จ
งดเว้นจากคำพูดส่อเสียด งดเว้นจากคำหยาบ
งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีการงานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือ สัตบุรุษในโลกนี้ เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกมีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างไร
คือสัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยเคารพ
ทำความอ่อนน้อมให้ทาน ให้ทานอย่างบริสุทธิ์
เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
สัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ ฯ
-
[๑๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษนั่นแหละ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษอย่างนี้
ภักดีต่อสัตบุรุษอย่างนี้
มีความคิดอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีความรู้อย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีถ้อยคำอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีการงานอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
มีความเห็นอย่างสัตบุรุษอย่างนี้
ให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างนี้แล้ว
-
เมื่อตายไป ย่อมบังเกิดในคติของสัตบุรุษ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คติของสัตบุรุษคืออะไร
คือ ความเป็นผู้มีตนควรบูชาในเทวดา
หรือความเป็นผู้มีตนควรบูชาในมนุษย์ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ จูฬปุณณมสูตร ที่ ๑๐
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๘๕ ข้อที่ ๑๓๐ - ๑๓๑
--
http://etipitaka.com/read/thai/14/85/…
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น