วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559
พุทธวจน faq การอยู่อย่างมีเพื่อนสอง หมายความว่าอย่างไร_1
#ลักษณะการอยู่แบบมีตัณหาเป็นเพื่อน
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”
มิคชาละ ! รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้;
แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ,
นันทิ(ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น
เมื่อ นันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง) ย่อมมี;
เมื่อ สาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ(ความผูกจิตติดกับอารมณ์) ย่อมมี :
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วย
อำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหู, กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก,
รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย, และ
ธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ, ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะ
อันเป็นป่า และป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้อง
ครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์
เป็นที่สมควร แก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น
เราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสอง
ของภิกษุนั้น.ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้แล้วเพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น
เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง” ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า !”
มิคชาละ ! รูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา
น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา
ซึ่งรูปนั้นไซร้แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา
ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ นันทิย่อมดับ
เมื่อ นันทิไม่มีอยู่, สาราคะ ย่อมไม่มี
เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ ย่อมไม่มี
มิคชาละ ! ภิกษุผู้ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์
ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหู, กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูก,
รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้น, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกาย, และ
ธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจ, ก็ทรงตรัสอย่างเดียวกัน).
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้อยู่ในหมู่บ้าน
อันเกลื่อนกล่นไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย
ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาทั้งหลาย
ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ตาม ถึงกระนั้น
ภิกษุนั้นเราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น;
ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้วเพราะเหตุนั้น
ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว” ดังนี้ แล.
อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) หน้า ๒๔.
(ภาษาไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๓๔/๖๖-๖๗.
---
(ภิกษุชื่อว่าเถระ มีปรกติอยู่ผู้เดียว)
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครราชคฤห์
สมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีชื่อว่าเถระ มีปรกติอยู่ผู้เดียว และสรรเสริญการอยู่ผู้เดียว เธอเป็น
ผู้เดียว เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้เดียวเดินกลับ ย่อมนั่งในที่ลับผู้เดียว และย่อมเป็น
ผู้เดียวอธิษฐานจงกรม
ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวาย
อภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง …
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ภิกษุรูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้ มีชื่อว่าเถระ มีปรกติอยู่คนเดียว และมีปรกติกล่าวสรรเสริญ
การอยู่คนเดียว พระเจ้าข้า ! …”
ภิกษุ ! เธอจงไปบอกภิกษุชื่อเถระตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งให้หา
ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระเถระถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า
“อาวุโส ! พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน”
ท่านพระเถระรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว
ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง …
เถระ ! ได้ยินว่าเธอมีปรกติอยู่คนเดียว และมักสรรเสริญการอยู่คนเดียว จริงหรือ ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! จริง พระเจ้าข้า …”
เถระ ! ก็เธอมีปรกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียวอย่างไร ?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ในข้อนี้ คือ ข้าพระองค์คนเดียว เข้าไปสู่บ้าน เพื่อบิณฑบาต เดินกลับคนเดียว นั่งในที่ลับคนเดียว อธิษฐานจงกรมคนเดียว
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์มีปรกติอยู่คนเดียว และมักกล่าวสรรเสริญการอยู่คนเดียว อย่างนี้แล
เถระ ! การอยู่คนเดียวนี้มีอยู่ เราจะกล่าวว่าไม่มีก็หาไม่
เถระ ! อนึ่งการอยู่คนเดียวของเธอ ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่า
ด้วยประการใด เธอจงฟังประการนั้น จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว
เถระ ! ก็การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่าอย่างไร ?
ในข้อนี้
สิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละได้แล้ว (อดีต)
สิ่งใดยังไม่มาถึง สิ่งนั้นก็สละคืนได้แล้ว (อนาคต)
ฉันทราคะ ในการได้อัตภาพที่เป็นปัจจุบัน ถูกกำจัดแล้วด้วยดี
การอยู่คนเดียว ย่อมเป็นอันบริบูรณ์โดยพิสดารกว่า อย่างนี้แล …
(คาถาท้ายพระสูตร)
เราย่อมเรียกนรชน ผู้ครอบงำ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
และ ไตรภพทั้งหมดได้ผู้รู้ทุกข์ทุกอย่าง ผู้มีปัญญาดี
ผู้ไม่แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง ผู้ละสิ่งทั้งปวง เสียได้
ผู้หลุดพ้น ในเพราะนิพพาน เป็นที่สิ้นตัณหา ว่า
เป็นผู้มีปรกติอยู่คนเดียว ดังนี้ …
(ภาษาไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๒๘๔/๗๑๖-๗๒๑.
---
https://www.youtube.com/watch?v=y5c6W9kR-r8
---
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น