วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ สนทนาธรรมเช้าวันจันทร์ หลังฉัน 2 2015 06 01



คลิปนี้คำถามดีมากๆ..คำถามโลกๆ..พระอาจารย์ตอบ..ส่งถึงนิพพานเลยคะ..

อนุโมทนากับผู้ถามทุกๆ  คำถาม และผู้อับโหลดคะ

**อยากเพิ่มยอดขายทำอย่างไร**

ศรัทธา  ศีล   จาคะ  ปัญญา(อานาปานสติ) เจริญมาก กระทำมาก

สร้างเหตุถูก ผลก็ต้องได้ถูก แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอา

เพิ่มสุตตะ ไปอีกองค์..ถึง..มรรคผลนิพพานเลย..*เป็นบุรุษมีตาสองข้าง*

ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ทางโลก.ปัญหาคือ..ตายแล้วก็ยังไม่พ้น..นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย

ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ในทางธรรม..เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องมีสุตะตถาคต

https://www.youtube.com/watch?v=f8EHDtfwhTc

คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.

ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-



**ขอโภคทรัพย์จงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม**

นี้เป็นธรรม ประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.

เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว



**ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เราพร้อมด้วยญาติและมิตรสหาย**

นี้เป็นธรรม ประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.

เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว

ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว



**ขอเราจงเป็นอยู่นาน จงรักษาอายุให้ยั่งยืน**

นี้เป็นธรรม ประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.

เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว

ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว

เป็นอยู่นานรักษาอายุให้ยั่งยืนแล้ว



**เมื่อตายแล้ว ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์**

นี้เป็นธรรม ประการที่ ๔ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.



คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้แล น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.



คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ ธรรม ๔ ประการ

อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก

ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-



สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) ๑

สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ๑

จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) ๑

ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ๑ .



คหบดี ! ก็ สัทธาสัมปทาเป็นอย่างไรเล่า ?



อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา

เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส

เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี

เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง

เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม

เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”.

คหบดี ! นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา.



ก็ สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?



อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต

เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน

เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร

เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท

เป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย

อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. นี้เรียกว่า สีลสัมปทา.



ก็ จาคสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?



อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่

มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม

ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้

และการแบ่งปัน. นี้เรียกว่า จาคสัมปทา.



ก็ ปัญญาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?



บุคคลมีใจอันความโลภอย่างแรงกล้า คือ อภิชฌาครอบงำแล้ว

ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ

เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย

ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข

บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ

อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ

เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย

ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข.



คหบดี ! อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า

อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภอย่างแรงกล้า)

เป็นอุปกิเลส (โทษเครื่องเศร้าหมอง) แห่งจิต

ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้

รู้ว่า พยาบาท (คิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่ซึมเซา)

อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)

เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ย่อมละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น .



คหบดี ! เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าอภิชฌาวิสมโลภะ

เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้

เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ

วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว

เมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้

อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก

มีปัญญาหนาแน่น เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา.

นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา.



คหบดี !

ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการ

อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.

ฆราวาสชั้นเลิศ หน้า ๒๓



จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๕/๖๑.

---

คนมีตาดี สองข้าง

-------------------

ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ?

คือ คนบางคนในโลกนี้มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์

ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น

นี้อย่างหนึ่ง;

และมีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรม

ที่เป็นกุศลและอกุศล

- ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ

- ธรรมเลวและธรรมประณีต

- ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว

นี้อีกอย่างหนึ่ง.

ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.

-------------------

(บาลี) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๒/๔๖๘.

พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๓๖

อภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์

หน้าที่ ๑๒๙ ข้อที่ ๙๐

---

http://etipitaka.com/read/thai/36/129/?keywords=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น