สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม จะอยู่อย่างไร ไม่ทุกข์ สุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า...ปาฏิหาริย์ การรู้ ลมหายใจ อานาปานสติ [กายคตาสติ]
#กรรมเก่า อุปนิสัย(ความเคยชินฝั่งดี กุศลมูล ) VS อนุสัย(ความเคยชินฝั่งไม่ดี อกุศลมูล)...พลักดันให้..เกิดพฤติกรรมในปัจจุบัน(กรรมใหม่ จุดผัสสะ องค์ประกอบของธรรม ๓ ประการ)🙏🙏🙏จิตสุดท้ายของสัตว์เมื่อเราจะตาย..จะไปตาม..อุปนิสัย(มนุษย์ เทวดา นิพพาน)หรือนิสัย(นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต)🙏🙏🙏
ท่านพระอาจารย์แจกแจงได้ชัดแจนมากๆ คลิปนี้
ท่านพระอาจารย์เมตตาจาก รูปธรรมที่เห็นชัดๆ สู่ ธรรมะชั้นลึก เจาะลึกไปในอาการจิต[การรู้รูป นาม[เห็นเกิด - ดับ]..เหตุเกิด ภพ.กรรม.สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมอยู่อย่างไรจะไม่ทุกข์ สุขทั้งโลกนี้ และโลกหน้า... สำหรับผู้มีสุตตะ..เห็นพระสูตรแต่ละพระสูตรที่ท่านพระอาจารย์เมตตานำมาเชื่อมโยงกัน..เราจะเข้าใจพระสูตรนั้นๆ..มากขึ้น..จะเห็นมุมของพระสูตรมากขึ้น..อิมในรสแห่งธรรมมากๆ 🙏🙏🙏
#พุทธวจน ที่ #วัดนาป่าพง
แนะนำให้ ฟังคลิปเต็มๆ นะคะ เพราะ สุคตวินโย หรือ พุทธวจน หรือ ตถาคตภาษิต เป็น ปฏิจจสมุปปันธรรม อาศัยกันและกันเกิดขึ้น #ท่านพระอาจารย์ก็แสดงแจกแจงแบบปฏิจจสมุปปันนธรรมเชื่อมโยงต่อเนื่องกันไปจนสุดทางตามหลักอริยสัจ๔ สมบูรณ์บริบูรณ์แต่ละเนื้อธรรมเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หัวข้อเรื่องอาจจะเป็นเรื่องเดิมๆ แต่ท่านพระอาจารย์ เชื่อมโยงพระสูตรในแง่มุมที่ต่างออกไปเรื่อยๆ และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรามีพระสูตรในหัวเยอะๆ เราจะเห็น ความอัศจรรย์ของ พุทธวจน หรือ สุคตวินโย หรือ ตถาคตภาษิต ความซับซ้อนอย่างเป็นระบบ ที่ไม่มีใครทำได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเราเท่านั้นที่ทำได้ 🙇♂️🙇♂️🙇♂️มาเพ่งพิสูจน์กันว่า.การกำหนดสมาธิทุกครั้งในการพูดเพื่อไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว .คำที่เชื่อมโยง สอดรับ ไม่ขัดแย่งกัน..ตลอด 45 ปีที่ทรงแสดงธรรมนั้นเป็นอย่างไร🤩🤩🤩
เปิดธรรมโดย ท่านพระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
ประธานสงฆ์วัดนาป่าพง ลำลูกกาคลอง 10 ปทุมธานี
-----
-จิตหลุดพ้นจากอาสวะ
-เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของ ตถาคต พรหมวิหาร อริยวิหาร
- มีความเพียร
- มี สัปปชัญญะ มีสติ
- เป็นผู้อยู่ อุเบกขา
- เป็นผู้อยู่กับปัจจุบัน ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
- เป็นผู้สำรวมอินทรีย์
[ ไม่ประมาทไม่ปล่อยให้จิตฝุ้งไป ]
- เหตุสมเร็จสมปรารถนา
- กองกุศลที่แท้จริง
*****
ถ้าเราไม่อยู่กับลม [ ประมาทปล่อยจิตฝุ้งไป ]เกิดอะไรขึ้น
- จิตฝุ้งไป ในความคิดอดีตบ้าง อนาคตบ้างฯ
- สัตว์เลยเป็นไปตามอารมณ์ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง
*** อารมณ์นั้งแหละ คือ กรรม
*** และ กรรม นั้นแหละ คือ ภพ
*** เรากำลังสร้าง ภพ อยู่ตลอดเวลา
*** เรากำลังสร้าง กรรม อยู่ตลอดเวลา
*****
เราต้องการมาสร้างกรรมดี
-กรรมดีที่แท้จริงคือ กองกุศลที่แท้จริงคือ สติปัฏฐาน ๔
- สติปัฏฐาน ๔ อธิบายด้วย อานาปานสติ
-ขณะเรารู้ลมหายใจ เราเจริญสติปัฏฐาน ๔
**
อยากสร้างบุญสร้างกุศล ง่ายสุดเลย อยู่กับลมหายใจ
เท่ากับเราอยู่กับปัจจุบัน เป็นผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
ปัจจุบัน จิตเรามีกุศล วาจา กาย จะเป็นอกุศลไม่ได้
***พระองค์ถึงให้คุมใจ***
******
ธรรมชั้นลึก ละเอียด ลึกซึ่ง ปราณีต
******
*****ใจ คืออะไร ****จิต มโน วิญญาณ***
****
***ที่ตั้งของวิญญาณ** ตำแหน่งของผัสสะ การประกอบพร้องของธรรม ๓ อย่าง...
-ธาตุ ๔ เป็นภพ เป็นที่เกิดของสัตว์ เปรียบเหมือนดิน พื้นนา[กรรม] เปรียบเหมือนภพ ๓...
****
ความคิดของเรา..ตำแหน่งผัสสะ..การประกอบของธรรม ๓ ประการ..สร้างกรรม .สร้างภพ..คติ ๕..
****
ความคุมความคิด ควบคุมใจอย่าเพลิน.ละนันทิ.สำรวมอินทรีย์เข้าไว้...ชีวิตจะดีขึ้น...
คิดดี...กุศลกรรมบถ ๑๐..ภพมนุษย์ เทวดา
คิดไม่ดี...อกุศลกรรมบถ ๑๐..นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรต
****
สรุป..ต้องสำรวมอินทรีย์..สำรวมใจ.ฝึกสำรวมใจ.อยู่กับลมหายใจ..อานาปานสติ..
****
ทำบ่อยๆ..เกิดเป็นความเคยชิน เป็นนิสัย..
นิสัยฝังดี ..อุปนิสัย..คือ กุศลมูล(กรรมเก่า)
ฝังเลว.เรียก.อนุสัย..คือ.อกุศลมูล(กรรมเก่า)
***
เวลาจะตาย..ของคนทั่วไป.จิตสุดท้ายจะรู้สึกถึงอารมณ์ที่เคยชิน..จะไปตามความเคยชิน..อุปนิสัย หรือ..อนุสัย...
**
กุศลมูล..อกุศลมูล..เป็นตัวผลักดันให้กุศลธรรม(ตำแหน่งผัสสะ กรรมใหม่)อกุศลธรรม(กรรมใหม่)..เกิดขึ้นในปัจจุบัน
*****
#แก้ไขได้ด้วยอานาปานสติ
🙇♂️🙇♂️🙇♂️
****บุคคล ๓ จำพวก***
**********************
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา ฯ
*****
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้
ออกเป็นส่วนละ ๓ อีกหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สามารถ อานนท์
****บุคคล ๓ จำพวก***
**********************
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา ฯ
*****
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคทรงสามารถบัญญัติบุคคล ๓ จำพวกนี้
ออกเป็นส่วนละ ๓ อีกหรือพระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สามารถ อานนท์
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น
ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดีของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้น
ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
กุศลมูลนั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้
***บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา***
เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้วลุกโพลงสว่างไสว
อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ
เธอพึงทราบไหมว่า
ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
อันบุคคลเก็บไว้บนศิลาทึบ
เธอพึงทราบไหมว่า
ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์ตกไปในเวลาเย็น เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างจักหายไป ความมืดจักปรากฏ ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหารของราชสกูลใน
เวลาเที่ยงคืน เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างหายไปหมดแล้ว ความมืดได้ปรากฏแล้ว ฯ
เวลาเที่ยงคืน เธอพึงทราบไหมว่า แสงสว่างหายไปหมดแล้ว ความมืดได้ปรากฏแล้ว ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
อกุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่กุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
กุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
***บุคคลนี้จักเป็นผู้เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา***
ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรอานนท์
ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดี
ของบุคคลนี้มีอยู่
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดี
ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจ
อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจ
อย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
***บุคคลนี้จักไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา***
เปรียบเหมือนถ่านไฟที่ไฟติดทั่วแล้ว
ลุกโพลงสว่างไสว
อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง
หรือบนกองไม้แห้ง
เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักถึง
ความเจริญงอกงามไพบูลย์
ลุกโพลงสว่างไสว
อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง
หรือบนกองไม้แห้ง
เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักถึง
ความเจริญงอกงามไพบูลย์
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาในเวลารุ่งอรุณ เธอพึงทราบไหมว่า ความมืดจักหายไป แสงสว่างจักปรากฏ ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ อนึ่ง เปรียบเหมือนในเวลาเสวยพระกระยาหารของราชสกูลในเวลาเที่ยงวัน เธอพึงทราบไหมว่า ความมืดหายไปหมดแล้วแสงสว่างได้ปรากฏแล้ว ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า
อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
กุศลธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เรากำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า
อกุศลธรรมของบุคคลนี้หายไป
กุศลธรรมปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า
แต่อกุศลมูลที่เขายังตัดไม่ขาดมีอยู่
อกุศลมูลแม้นั้นก็ถึงความเพิกถอนขึ้นโดยประการทั้งปวง
ด้วยประการอย่างนี้
***บุคคลนี้จักเป็นผู้ไม่เสื่อมต่อไปเป็นธรรมดา***
ฉันนั้นเหมือนกัน
ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรอานนท์ ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
กำหนดรู้ญาณเป็นเครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้
กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้ ฯ
ดูกรอานนท์ อนึ่ง เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดี
ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจ อย่างนี้ว่า
อกุศลธรรมของบุคคลนี้
แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี
บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ
เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว
จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว
กุศลธรรมก็ดี
อกุศลธรรมก็ดี
ของบุคคลนี้มีอยู่
สมัยต่อมา
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจ อย่างนี้ว่า
อกุศลธรรมของบุคคลนี้
แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี
บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ
เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว
จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว
เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เย็น มีไฟดับแล้ว
อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง
เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
อันบุคคลเก็บไว้บนกองหญ้าแห้ง หรือบนกองไม้แห้ง
เธอพึงทราบไหมว่า ถ่านไฟเหล่านี้จักไม่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯ
อา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์ เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า กุศล
ธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน
ธรรมก็ดี อกุศลธรรมก็ดี ของบุคคลนี้มีอยู่ สมัยต่อมา เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลนั้นด้วยใจอย่างนี้ว่า อกุศลธรรมของบุคคลนี้ แม้ประมาณเท่าน้ำที่สลัดออกจากปลายขนทรายไม่มี บุคคลนี้ประกอบด้วยธรรมที่ไม่มีโทษ เป็นธรรมฝ่ายขาวอย่างเดียว จักปรินิพพานในปัจจุบันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรอานนท์ตถาคตกำหนดรู้ใจบุคคลด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ญาณเป็น
เครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้
เครื่องทราบอินทรีย์ของบุรุษด้วยใจแม้อย่างนี้ กำหนดรู้ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นต่อไปด้วยใจ แม้ด้วยประการฉะนี้
ดูกรอานนท์ บุคคล ๖ จำพวกนั้น บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เกิดในอบาย ตกนรก
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เกิดในอบาย ตกนรก
ในบุคคล ๖ จำพวกนั้น
บุคคล ๓ จำพวกข้างหลัง
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา ฯ
จบสูตรที่ ๘
บุคคล ๓ จำพวกข้างหลัง
***คนหนึ่งเป็นผู้ไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้เสื่อมเป็นธรรมดา
***คนหนึ่งเป็นผู้จะปรินิพพานเป็นธรรมดา ฯ
จบสูตรที่ ๘
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๓๖๒/๔๐๗ ข้อที่ ๓๓๓
*********************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…#
*********************************
ฟังพุทธวจนบรรยายได้ที่ www.watnapp.com
🙇♂️🙇♂️🙇♂️พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๓๖๒/๔๐๗ ข้อที่ ๓๓๓
*********************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…#
*********************************
ฟังพุทธวจนบรรยายได้ที่ www.watnapp.com
CR.ช่องยูทูป วัดนาป่าพง nirdukkha ม บูรพา วิทยาเขตสระแก้ว
https://www.youtube.com/watch?v=e6JquH1Uh2s&t=779s
🙏🙏🙏
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น