วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

จะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ:: 17 กันยายน 2559 พุทธวจน

จะมีประโยชน์อะไร เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ:: (บางส่วนจากคลิปสนทนาธรรมวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2559 ):: พุทธวจน

***********

*******

ทวยตานุปัสสนาสูตรที่ ๑๒

[๓๙๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพาราม

ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา

ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล

เมื่อราตรีเพ็ญมีพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถที่ ๑๕ ค่ำ

พระผู้มีพระภาคอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งอยู่

ในอัพโภกาส ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์สงบนิ่ง

จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า จะมีประโยชน์อะไร

เพื่อการฟังกุศลธรรมอันเป็นอริยะ

เป็นเครื่องนำออกไป

อันให้ถึงปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ แก่ท่านทั้งหลาย

เธอทั้งหลายพึงตอบเขาอย่างนี้ว่า

มีประโยชน์เพื่อรู้ธรรมเป็นธรรม ๒อย่าง

ตามความเป็นจริง ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

ท่านทั้งหลายกล่าวอะไรว่าเป็นธรรม ๒อย่าง

พึงตอบเขาอย่างนี้ว่า

*****

การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัยนี้ข้อที่ ๑

การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า นี้ทุกขนิโรธ

นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทานี้เป็นข้อที่ ๒

*****

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง

โดยชอบเนืองๆ อย่างนี้

เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่

พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง

คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความ

ถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ฯ

******

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา

ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

***********

[๓๙๑] ชนเหล่าใดไม่รู้ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์

ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ

โดยประการทั้งปวง และไม่รู้มรรคอันให้ถึงความเข้า

ไประงับทุกข์ ชนเหล่านั้นเสื่อมแล้ว

จากเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ

เป็น ผู้ไม่ควรเพื่อจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

เป็นผู้เข้าถึงชาติและชราแท้

ส่วน ชนเหล่าใดรู้ทุกข์เหตุเกิดแห่งทุกข์

ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ไม่มีส่วนเหลือ

โดยประการทั้งปวง

และรู้มรรคอันให้ถึงความเข้าไประงับทุกข์

ชนเหล่านั้น

ถึงพร้อมแล้วด้วยเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ

เป็นผู้ควรที่ จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

และเป็นผู้ไม่เข้าถึงชาติและชรา ฯ

[๓๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง

โดยชอบเนืองๆ จะพึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

พึงตอบเขาว่าพึงมี ถ้าเขาพึงถามว่า

พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบว่า การพิจารณาเห็นเนืองๆว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด

ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปธิปัจจัย นี้เป็นข้อ ๑

การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า

เพราะอุปธิทั้งหลายนี้เองดับไป

เพราะสำรอกโดยไม่เหลือ

ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง

โดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ

จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ทุกข์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง

มีเป็นอันมากในโลก ย่อมเกิดเพราะอุปธิเป็นเหตุ

ผู้ใดแลไม่รู้ย่อมกระทำอุปธิ

ผู้นั้นเป็นผู้เขลาย่อมเข้าถึงทุกข์

บ่อยๆ เพราะเหตุนั้น

ผู้พิจารณาเห็นเหตุเกิดแห่งทุกข์เนืองๆ ทราบ

ชัดอยู่ ไม่พึงทำอุปธิ ฯ

****

[๓๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า

การพิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง

โดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม

ควรตอบเขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า

พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า

การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า

ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด

ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนี้เป็นข้อที่ ๑

การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า

เพราะอวิชชานั่นเองดับไปเพราะสำรอกโดยไม่มีเหลือ

ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒

******

พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๕

สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน

-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาตหน้าที่ ๓๕๑ ข้อที่ ๓๙๐

************

link ;; พระสุตรเต็มอ่านจากโปรแกรม Etipitaka

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น