#อานิสงส์ในการฟังธรรมก่อนตาย
*
#ฟังธรรม..
-จากตถาคต
-สาวกตถาคต
-ระลึกถึงบทแห่งธรรมที่ทรงจำไว้
*
-จะละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้(อนาคามี)
-ที่ละได้แล้วจะน้อมไปเพื่อนิพพาน
*
ดูกรอานนท์
อานิสงส์
#ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร
#ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร
๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน
-
ท่านพระผัคคุณะก็กระทำกาละ และในเวลา
ตายอินทรีย์ของท่านพระผัคคุณะผ่องใสยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์
ก็อินทรีย์ของผัคคุณภิกษุจักไม่ผ่องใสได้อย่างไร จิตของผัคคุณภิกษุยังไม่หลุดพ้น
จากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ จิตของผัคคุณภิกษุนั้น ก็หลุดพ้นแล้ว
จากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
-
ดูกร อานนท์
จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้
ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
-
ในเวลาใกล้ตาย
#เธอได้เห็นตถาคต
ตถาคตย่อมแสดงธรรม
อันงามในเบื้องต้น อันงามในท่ามกลาง อันงามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ
บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ
-
จิตของเธอย่อมหลุดพ้น
จากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
-
ดูกรอานนท์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
-
อีก ประการหนึ่ง
จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
-
ในเวลาใกล้ตาย
เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย
#แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต
สาวกของพระตถาคต ย่อมแสดงธรรม
อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่เธอ
จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
-
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
-
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
-
ในเวลาใกล้ตาย
เธอไม่ได้เห็นตถาคต
และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย
แต่ย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจ
#ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา
เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา
ได้เรียนมาอยู่
จิตของเธอย่อมหลุดพ้น
จากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
-
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓
ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม
โดยกาลอันควร ฯ
-
ดูกร อานนท์
จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้
ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
-
ในเวลาใกล้ตาย
#เธอย่อมได้เห็นพระตถาคต
พระตถาคตย่อมแสดงธรรม
อันงามในเบื้องต้น ... แก่ เธอ
จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
-
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
-
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้วจากสังโยชน์
อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
-
ในเวลาใกล้ตาย
เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคต
#แต่เธอย่อมได้เห็นสาวกของพระตถาคต
สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรม
อันงามในเบื้องต้น ... แก่เธอ
จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพาน
เป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น
-
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕
ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ฯ
-
อีกประการหนึ่ง
จิตของภิกษุหลุดพ้นแล้ว
จากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕
แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
-
ในเวลาใกล้ตาย
เธอย่อมไม่ได้เห็นพระตถาคต
และย่อมไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย
#แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรม
ตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา
เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ
ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่
จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพาน
อันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส
อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
-
ดูกรอานนท์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อ ๖
ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม
โดยกาลอันควร
-
ดูกรอานนท์
อานิสงส์ในการฟังธรรม
ในการใคร่ครวญเนื้อความโดยกาลอันควร
๖ ประการนี้แล ฯ
-
(ภาษาไทย) ปญฺจก. อํ. ๒๒/๓๔๓/๓๒๗
-
http://etipitaka.com/read?language=thai&number=343&volume=22
*******
*****
#ฟังธรรมก่อนตายละสังโยชน์๕ได้
#อานิสงส์การเจริญโพชฌงค์
[๓๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มาก
แล้วอย่างนี้ ผลานิสงส์ ๗ ประการ
อันเธอพึงหวังได้ ผลานิสงส์ ๗ ประการเป็นไฉน?
-
[๓๘๒] คือ
(๑)
ในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตผลโดยพลัน
(๒)
ในปัจจุบันไม่ได้บรรลุ ทีนั้น
จะได้บรรลุในเวลาใกล้ตาย
(๓)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ทีนั้นจะได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๔)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๕)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอานาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๖)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป
(๗)
ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ
ในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุ
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี
ไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี
และไม่ได้เป็นพระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ทีนั้น
จะได้เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ๕ สิ้นไป
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗
อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้
ผลานิสงส์ ๗ ประการเหล่านี้ อันเธอพึงหวังได้.
จบ สูตรที่ ๓
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๙๗ ข้อที่ ๓๘๑ - ๓๘๒
http://etipitaka.com/read/thai/19/96/?keywords=%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C%20%E0%B9%97
----****************
*******************
**อนาคามี ปรินิพพาน ภายหลังกายแตกทำลาย**
ประมาณนาทีที่ 1.46 https://www.youtube.com/watch?v=Kt5wVUwN868
#อนาคามี ๕ จำพวก
พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อุปหัจจปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อสังขารปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้สสังขารปรินิพพายี ๑
พระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี ๑
ประมาณนาทีที่ 1.00.55 https://www.youtube.com/watch?v=f7-tnESegNg
ปุริสคติสูตร
[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปุริสคติ ๗ ประการ
และอนุปาทาปรินิพพาน
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง
จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูล
รับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปุริสคติ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้
คือ ได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา
ถ้ากรรมในปัจจุบันไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่ ด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ อนุสัยคือภวราคะ อนุสัยคืออวิชชา
เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
-
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
ภิกษุนั้นย่อมปรินิพพานในระหว่าง
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้
คือ ได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่มีแล้วไซร้ ... เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่
ที่เป็นมาแล้ว เราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์ อันเป็นอดีต ...
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซึ่งมีอยู่
ด้วยปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล
ภิกษุนั้นยังทำให้แจ้งไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ ...อนุสัยคืออวิชชา
เธอก็ยังละไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็ก
ที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออกแล้วดับไป ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพานในระหว่าง
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกยังไม่ถึงพื้นก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพานในเมื่ออายุเลยกึ่ง
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป ตกถึงพื้นแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรนัก
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนขึ้นไปแล้วตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้เล็กๆ สะเก็ดนั้นพึงให้ไฟและควันเกิดขึ้นได้ที่หญ้า
หรือกองไม้เล็กๆ นั้น ครั้นให้เกิดไฟและควัน
เผากองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ
นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
เธอย่อมปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง
เปรียบเหมือนเมื่อนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไป แล้วพึงตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้ย่อมๆ สะเก็ดนั้นพึงให้เกิดไฟ
และควันที่กองหญ้าหรือกองไม้ย่อมๆ นั้น
ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว เผากองหญ้าหรือกอง
ไม้ย่อมๆ นั้นให้หมดไป ไม่มีเชื้อแล้วดับ ฉะนั้น ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ฯลฯ
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
-
เธอเป็นผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ
เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน
สะเก็ดร่อนลอยขึ้นไปแล้วพึงตกลงที่กองหญ้า
หรือกองไม้ใหญ่ๆ ครั้นให้เกิดไฟและควันแล้ว
เผากองหญ้าหรือกองไม้ใหญ่ๆ นั้นให้หมดไป
แล้วพึงลามไปไหม้ไม้กอและป่าไม้
ครั้นไหม้ไม้กอและป่าไม้แล้ว
ลามมาถึงที่สุดหญ้าเขียว ที่สุดภูเขาที่สุดชายน้ำ
หรือภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ หมดเชื้อแล้วก็ดับ ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปุริสคติ๗ ประการนี้แล ฯ
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอนุปาทาปรินิพพานเป็นอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ปฏิบัติอย่างนี้ คือ
ย่อมได้ความวางเฉยว่า
ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้วไซร้ อัตตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา
ถ้ากรรมในปัจจุบันย่อมไม่มีไซร้ อัตตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา
เบญจขันธ์ที่กำลังเป็นอยู่ ที่เป็นมาแล้วเราย่อมละได้
เธอย่อมไม่กำหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต
ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต
ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งด้วยปัญญาอันชอบ
ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำให้แจ้งแล้ว โดยอาการทั้งปวง
อนุสัยคือมานะ ... อนุสัยคืออวิชชา เธอยังละ ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง
-
เธอย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
อนุปาทาปรินิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ ๗ ประการนี้
และอนุปาทาปรินิพพาน ฯ
จบสูตรที่ ๒
-
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๓
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
หน้าที่ ๖๒ ข้อที่ ๕๒
-
-อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมจาก โปรแกรม E-Tipitaka ;
link ; http://etipitaka.com/read/thai/23/62/…
--
เชื่อมโยงกับพระสูตรข้างบน..บุคคล ๔ จำพวก
*******
[๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ บุคคลบางคนในโลกนี้
๑. เป็น สสังขารปรินิพพายี จะปรินิพพาน
ด้วย ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง ในปัจจุบันเทียว
( บาลี : ทิฏฺเฐว ธมฺเม สสงฺขารปรินิพฺพายี )
๒. บางคนเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี
( บาลี : กายสฺส เภทา สสงฺขารปรินิพฺพายี )
๓. บางคนเป็น อสังขารปรินิพพายี จะปรินิพพาน
ด้วย ไม่ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง ในปัจจุบัน
( บาลี : ทิฏฺเฐว ธมฺเม อสงฺขารปรินิพฺพายี )
๔. บางคนเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี
( บาลี : กายสฺส เภทา อสงฺขารปรินิพฺพายี )
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นสสังขารปรินิพพายีในปัจจุบันอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
● พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม
● มีความสำคัญในอาหารว่าปฏิกูล
● มีความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี
● พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าไม่เที่ยง
● และมรณสัญญาของเธอตั้งอยู่ดีแล้วในภายใน
● เธออาศัยธรรมเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้อยู่ คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ วิริยะ ปัญญา
● ทั้งอินทรีย์๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของ
เธอปรากฏว่าแก่กล้า
● เธอย่อมเป็น สสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันเทียว
● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็น สสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันอย่างนี้แล ฯ
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
● พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม ฯลฯ
● อินทรีย์ ๕ ประการคือ สัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ...ของเธอปรากฏว่าอ่อน
● เธอเมื่อกายแตกจึงเป็น สสังขารปรินิพพายี
● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้ อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็นสสังขารปรินิพพายีอย่างนี้แล ฯ
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็น อสังขารปรินิพพายีในปัจจุบัน อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
● สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
● บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
● บรรลุตติยฌาน ฯลฯ
● บรรลุจตุตถฌาน
เธออาศัยธรรมเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการนี้ คือ ศรัทธา ... ปัญญา
● อินทรีย์๕ ประการนี้ คือสัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่า แก่กล้า
● เธอเป็น อสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบัน
● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเป็น อสังขารปรินิพพายี ในปัจจุบันอย่างนี้แล ฯ
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี อย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
● สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ
● บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
● บรรลุตติยฌาน ฯลฯ
● บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ
● แต่อินทรีย์ ๕ ประการนี้คือ สัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ ของเธอปรากฏว่า อ่อน
● เธอเมื่อกายแตกจึงเป็นอสังขารปรินิพพายี
● เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลเมื่อกายแตกจึงเป็น อสังขารปรินิพพายี อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
__________
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น