วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พุทธวจน เหตุปัจจัยที่..สาธยายธรรมแล้วจำไม่ได้..เหตุเดียวคือนิวรณ์๕

เหตุปัจจัยที่..สาธยายธรรมแล้วจำไม่ได้..เหตุเดียวคือนิวรณ์๕ :: 
*************
**เหตุปัจจัยที่..สาธยายธรรมแล้วจำไม่ได้..เหตุเดียวคือนิวรณ์๕*** 
(ทำสมาธิมากๆ สาธยายอะไรจะทรงจำได้ดีเอง)
#นิวรณ์เป็นปัจจัยให้มนต์ไม่แจ่มแจ้ง
[๖๐๑] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อว่าสคารวะ 
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ 
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค 
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว 
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า.
-
[๖๐๒] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ 
อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย 
ให้มนต์แม้ที่บุคคลกระทำการสาธยายไว้นาน 
ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ 
อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน 
ก็ยังแจ่มแจ้งในบางคราว 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.
-
[๖๐๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ 
สมัยใดแล บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ 
อันกามราคะเหนี่ยวรั้งไป
และไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะที่บังเกิดแล้ว 
ตามความเป็นจริง 
-
สมัยนั้น เขาไม่รู้ไม่เห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง 
มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน 
ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.
-
[๖๐๔] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
ซึ่งระคนด้วยสีครั่ง สีเหลือง สีเขียว สีแดงอ่อน 
บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความ เป็นจริงได้ ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด 
-
บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ 
อันกามราคะ เหนี่ยวรั้งไป 
และไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง 
-
ในสมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองนั้นตามความเป็นจริง 
มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.
-
[๖๐๕] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท
อันพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้น
แล้วตามความเป็นจริง ...
-
[๖๐๖] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
ซึ่งร้อนเพราะไฟเดือดพล่าน มีไอพลุ่งขึ้น 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด 
บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท 
อันพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ...
-
[๖๐๗] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ
อันถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป 
ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้น
แล้วตามความเป็นจริง ...
-
[๖๐๘] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
อันสาหร่ายและจอกแหนปกคลุมไว้ 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด
ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ 
อันถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง ...
-
[๖๐๙] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจ กุกกุจจะ 
อันอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก
ซึ่งอุทธัจจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง ...
-
[๖๑๐] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
อันลมพัดต้องแล้ว หวั่นไหว กระเพื่อม เกิดเป็นคลื่น 
บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็น
ตามความเป็นจริง ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ
อันอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งอุทธัจจกุกกุจจะ 
ที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ...
-
[๖๑๑] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
ในสมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา
อันวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป 
และไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง 
สมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง 
มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน 
ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.
-
[๖๑๒] ดูกรพราหมณ์ 
เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ขุ่นมัวเป็นเปือกตม 
อันบุคคลวางไว้ในที่มืด 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา 
อันวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง 
สมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ ไม่เห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง 
มนต์ที่กระทำการสาธยายไว้นาน 
ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.

[๖๑๓] ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย 
ให้มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน 
ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.
-
[๖๑๔] ดูกรพราหมณ์ ส่วนสมัยใด 
บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ 
ไม่ถูกกามราคะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง 
สมัยนั้น เขาย่อมรู้ ย่อมเห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง 
มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน 
ย่อมแจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.
-
[๖๑๕] ดูกรพราหมณ์ 
เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันไม่ระคนด้วยสีครั่ง 
สีเหลือง สีเขียว หรือสีแดงอ่อน 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ 
ไม่ถูกกามราคะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๑๖] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท
ไม่ถูกพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้น
แล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๑๗] ดูกรพราหมณ์ 
เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ไม่ร้อนเพราะไฟ 
ไม่เดือดพล่านไม่เกิดไอ 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท 
ไม่ถูกพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๑๘] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ
ไม่ถูกถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๑๙] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
อันสาหร่ายและจอกแหนไม่ปกคลุมไว้ 
บุรุษผู้มีจักษุ 
เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ 
ไม่ถูกถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้ว 
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๒๐] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจ กุกกุจจะ 
ไม่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
ซึ่งอุทธัจจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้ว 
ตามความจริง ฯลฯ
-
[๖๒๑] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ 
อันลมไม่พัดต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่กระเพื่อม ไม่เกิดเป็นคลื่น 
บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
พึงรู้ พึงเห็น ตามความเป็นจริงได้ ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจ กุกกุจจะ 
ไม่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออก
ซึ่งอุทธัจจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้ว 
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๒๒] ดูกรพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา
ไม่ถูกวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้ว 
ตามความเป็นจริง ฯลฯ
-
[๖๒๓] ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันใสสะอาด 
ไม่ขุ่นมัว อันบุคคลวางไว้ในที่แจ้ง 
บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น 
พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด 
ฉันนั้นเหมือนกัน 
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา 
ไม่ถูกวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป 
และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออก 
ซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้ว
ตามความเป็นจริง 
-
สมัยนั้น เขาย่อมรู้ ย่อมเห็น
แม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง 
แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง 
มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน ย่อมแจ่มแจ้งได้ 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.

[๖๒๔] ดูกรพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย 
ให้มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน 
ก็ยังแจ่มแจ้งได้ในบางคราว 
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.
-
[๖๒๕] ดูกรพราหมณ์ โพชฌงค์แม้ทั้ง ๗ นี้ 
มิใช่เป็นธรรมกั้น มิใช่เป็นธรรมห้าม
ไม่เป็นอุปกิเลสของใจ 
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว 
ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล 
คือ วิชชาและวิมุติ 
-
โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน? 
คือสติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ 
อุเบกขาสัมโพชฌงค์
-
ดูกรพราหมณ์ โพชฌงค์ ๗ นี้แล 
มิใช่เป็นธรรมกั้น มิใช่เป็นธรรมห้าม 
ไม่เป็นอุปกิเลสของใจ
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว 
ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล 
คือ วิชชา และ วิมุติ.
-
[๖๒๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว 
สคารวพราหมณ์ได้กราบทูล 
พระผู้มีพระภาคว่า 
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ 
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก 
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ 
ขอพระโคดมผู้เจริญ 
โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต 
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
-
จบ สูตรที่ ๕
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๑๕๐ ข้อที่ ๖๒๖ - ๖๒๗
-
http://etipitaka.com/read/thai/19/146/
-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น