*************
#เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ
ย่อมเจริญ
ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพเจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
-----
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ
ย่อมเจริญ
ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
------
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
-------
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
เมื่อเธอเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละ
สังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
----
อีกประการหนึ่ง ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม
สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น
สงบ ณ ภายใน
เป็นจิตเกิดดวงเดียว
ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด
----
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัต
ในสำนักของเรา ด้วยมรรค ๔ ประการนี้
โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใด
อย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ
จบปฏิปทาวรรคที่ ๒
------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
*********
#เจริญอัฏฐังคิกมรรค
#สมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันไป
#เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ
ย่อมเจริญ
ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพเจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
-----
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
เมื่อเธอเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ
ย่อมเจริญ
ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
------
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
-------
อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
เมื่อเธอเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
มรรคย่อมเกิด
เธอย่อมเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละ
สังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
----
อีกประการหนึ่ง ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม
สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น
สงบ ณ ภายใน
เป็นจิตเกิดดวงเดียว
ตั้งมั่นอยู่
มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
เธอย่อมเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
เมื่อเธอเสพ เจริญ
กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้
อนุสัยย่อมสิ้นสุด
----
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม
ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัต
ในสำนักของเรา ด้วยมรรค ๔ ประการนี้
โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใด
อย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ
จบปฏิปทาวรรคที่ ๒
------
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
*********
#เจริญอัฏฐังคิกมรรค
#สมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันไป
[๘๒๙] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ
นี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่า
นี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่า
บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้
#คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป
#คือสมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป
เขาชื่อว่า
#กำหนดรู้ธรรมที่ควรรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
#ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
#เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญา อันยิ่ง
#ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
#กำหนดรู้ธรรมที่ควรรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
#ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
#เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญา อันยิ่ง
#ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่
ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่อุปาทานขันธ์
คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณเหล่านี้
ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่อุปาทานขันธ์
คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณเหล่านี้
ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คืออวิชชา และภวตัณหาเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
คืออวิชชา และภวตัณหาเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คือสมถะและวิปัสสนาเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
คือสมถะและวิปัสสนาเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คือวิชชาและวิมุตติเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
คือวิชชาและวิมุตติเหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
---------------------
#ข้าศึกของมัชฌิมาปฏิปทา (อัฏฐังคิกมรรค)
ภิกษุ ท.! มีสิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่ง (อนฺตา) อยู่ ๒ อย่าง
ที่ บรรพชิตไม่ควรข้องแวะด้วย.
---------------------
#ข้าศึกของมัชฌิมาปฏิปทา (อัฏฐังคิกมรรค)
ภิกษุ ท.! มีสิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่ง (อนฺตา) อยู่ ๒ อย่าง
ที่ บรรพชิตไม่ควรข้องแวะด้วย.
สิ่งที่แล่นดิ่งไปสุดโต่งนั้นคืออะไร ? คือ
การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วย
#ความใคร่ในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค)
อันเป็นการกระทำที่ยังต่ำ
เป็นของชาวบ้าน
เป็นของชั้นบุถุชน
ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์,
และ
#การประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลำบาก(อัตตกิลมถานุโยค)
การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วย
#ความใคร่ในกามทั้งหลาย (กามสุขัลลิกานุโยค)
อันเป็นการกระทำที่ยังต่ำ
เป็นของชาวบ้าน
เป็นของชั้นบุถุชน
ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์,
และ
#การประกอบความเพียรในการทรมานตนให้ลำบาก(อัตตกิลมถานุโยค)
อันนำมาซึ่งความทุกข์ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, สองอย่างนี้แล.
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, สองอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
ที่ไม่ดิ่งไปหาสิ่งสุดโต่งสองอย่างนั้น
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ
เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ
เป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ความรู้อันยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้พร้อม
เพื่อนิพพาน.
ที่ไม่ดิ่งไปหาสิ่งสุดโต่งสองอย่างนั้น
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว
เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ
เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดญาณ
เป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ความรู้อันยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้พร้อม
เพื่อนิพพาน.
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง
ที่ไม่ดิ่งไปหาที่สุดโต่ง สองอย่างนั้น
เป็นอย่างไรเล่า ?
ที่ไม่ดิ่งไปหาที่สุดโต่ง สองอย่างนั้น
เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางนั้น คือ
ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ
ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการ นี่เอง.
แปดประการคืออะไรเล่า ? คือ
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริที่ถูกต้อง)
สัมมาวาจา(การพูดจาที่ถูกต้อง)
สัมมากัมมันตะ (การทำงานที่ถูกต้อง)
สัมมาอาชีวะ (การดำรงชีพที่ถูกต้อง)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรที่ถูกต้อง)
สัมมาสติ (ความระลึกที่ถูกต้อง)
สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง).
ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ
ประกอบอยู่ด้วยองค์แปดประการ นี่เอง.
แปดประการคืออะไรเล่า ? คือ
สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริที่ถูกต้อง)
สัมมาวาจา(การพูดจาที่ถูกต้อง)
สัมมากัมมันตะ (การทำงานที่ถูกต้อง)
สัมมาอาชีวะ (การดำรงชีพที่ถูกต้อง)
สัมมาวายามะ (ความพากเพียรที่ถูกต้อง)
สัมมาสติ (ความระลึกที่ถูกต้อง)
สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง).
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
-มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย ๙
---------------------------------
ศึกษา พุทธวจน(คำของพระพุทธเจ้า)ได้ที่นี่
http://www.buddhakos.org/
http://watnapp.com/
http://media.watnapahpong.org/
http://www.buddhaoat.org/
-มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย ๙
---------------------------------
ศึกษา พุทธวจน(คำของพระพุทธเจ้า)ได้ที่นี่
http://www.buddhakos.org/
http://watnapp.com/
http://media.watnapahpong.org/
http://www.buddhaoat.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น