วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พุทธวจน faq การถวายของแก่สงฆ์ ด้วยมือของตน



อุบาสิกา สามารถถวาย หรือ รับมอบ สิ่งของกับภิกขุ..แบบมือต่อมือได้ พระพุทธองค์มิได้บัญญัติห้าม ตรงกันข้าม..พระองค์ตรัสว่า "สัตบุรุษ(คนดี) ให้-รับ(ของ)ด้วยมือของตน"
แต่การที่ภิกขุใช้ผ้ารองรับแทนมือก็ไม่ได้ผิดนะครับ ทำได้เหมือนกัน ตามความจำเป็น (เช่น เอื้อมไม่ถึง หรือของหนัก) แต่ให้ทราบไว้ด้วยว่า การให้-รับด้วยมือนั้นไม่ผิด สามารถทำได้.

_____www.watnapp.com_____________________



การรับประเคนที่ใช้ได้
ดูกรอุบาลี การรับประเคนที่ใช้ได้นี้ มี ๕ อย่าง. ๕ อย่างอะไรบ้าง? คือ: 
๑. ของเขาให้ด้วยกาย รับประเคนด้วยกาย
๒. ของเขาให้ด้วยกาย รับประเคนด้วยของเนื่องด้วยกาย
๓. ของเขาให้ด้วยของเนื่องด้วยกาย รับประเคนด้วยกาย
๔. ของเขาให้ด้วยของเนื่องด้วยกาย รับประเคนด้วยของเนื่องด้วยกาย
๕. ของเขาให้ด้วยโยนให้ รับประเคนด้วยกาย หรือด้วยของเนื่องด้วยกาย
 
ดูกรอุบาลี การรับประเคนที่ใช้ได้ ๕ อย่าง นี้แล.
(ภาษาไทย) ปริวาร.วิ.  ๘/๔๒๓/๑๑๗๓.
***************************

๘. สัปปุริสทานสูตร
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ


สัตบุรุษย่อมให้ทานด้วยศรัทธา ๑ 

ย่อมให้ทานโดยเคารพ ๑ 
ย่อมให้ทานโดยกาลอันควร ๑ 
เป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน ๑ 
ย่อมให้ทานไม่กระทบตนและผู้อื่น ๑ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษครั้นให้ทานด้วยศรัทธาแล้ว 
ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง 
มีทรัพย์มาก 
มีโภคะมาก 
และเป็นผู้มีรูปสวยงาม 
น่าดู
น่าเลื่อมใส

ประกอบด้วยผิวพรรณงามยิ่งนัก 
ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล (บังเกิดขึ้น) 
ครั้นให้ทานโดยเคารพแล้ว 

ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง 
มีทรัพย์มาก 
มีโภคะมาก 
และเป็นผู้มีบุตรภรรยา 
ทาส
คนใช้หรือคนงาน 

เป็นผู้เชื่อฟัง 
เงี่ยโสตลงสดับคำสั่ง 
ตั้งใจใคร่รู้ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล 
ครั้นให้ทานโดยกาลอันควรแล้ว 
ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง 
มีทรัพย์มาก 
มีโภคะมาก 
และย่อมเป็นผู้มีความต้องการที่เกิดขึ้นตามกาลบริบูรณ์ 
ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล 
ครั้นเป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทานแล้ว
ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง 

มีทรัพย์มาก 
มีโภคะมาก 
และเป็นผู้มีจิตน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ สูงยิ่งขึ้น

ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล 
ครั้นให้ทานไม่กระทบตนและผู้อื่นแล้ว 

ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง 
มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก 


และย่อมเป็นผู้มีโภคทรัพย์ไม่มีภยันตรายมาแต่ที่ไหนๆคือ 
จากไฟ 
จากน้ำ 
จากพระราชา 
จากโจร 
จากคนไม่เป็นที่รัก 
หรือจากทายาทในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัปปุริสทาน ๕ ประการนี้แล ฯ


พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

หน้าที่ ๑๕๕/๔๐๗ข้อที่ ๑๔๗-๑๔๘


http://etipitaka.com/read?keywords=%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD&language=thai&number=155&volume=22#

ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
*****************************************************
**ผลแห่งทาน**
คหบดี ! บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยไม่เคารพ ไม่ทำความนอบน้อมให้ ไม่ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่เหลือ ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ให้ทาน ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้นคือ บุตร ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ส่งจิตไปที่อื่นเสีย.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ทั้งนี้เป็นเพราะ ผลแห่งกรรมที่ตนกระทำโดยไม่เคารพ.
คหบดี ! บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อกรรมและผลของกรรม ให้ทาน ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น.
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? ทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ.
...ฯลฯ...
ฆราวาสชั้นเลิศ หน้า ๑๒๔

(ภาษาไทย) นวก. อํ. ๒๓/๓๑๖/๒๒๔.
**************************************************

สุปปวาสสูตร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิคมของโกลิยราชสกุล ชื่อปัชชเนละ แคว้นโกฬิยะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของโกลิยธิดาชื่อสุปปวาสา ครั้นแล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้งนั้นแล โกลิยธิดา ชื่อสุปปวาสา ได้อังคาสพระผู้มีพระภาคด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน ให้อิ่มหนำเพียงพอแล้ว ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกาผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ แก่ปฏิคาหก ฐานะ ๔ เป็นไฉนคือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ครั้นให้อายุแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้วรรณะแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งวรรณะอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้สุขแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสุขะ อันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์ ดูกรนางสุปปวาสา อริยสาวิกา เมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหก ฯ
(ภาษาไทย) จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๑/๕๗

สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2559




**อยากเพิ่มยอดขายทำอย่างไร**



คลิปนี้คำถามดีมากๆ..คำถามโลกๆ..พระอาจารย์ตอบ..ส่งถึงนิพพานเลยคะ..
อนุโมทนากับผู้ถามทุกๆ คำถาม และผู้อับโหลดคะ
**อยากเพิ่มยอดขายทำอย่างไร**
ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา(อานาปานสติ) เจริญมาก กระทำมาก
สร้างเหตุถูก ผลก็ต้องได้ถูก แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอา
เพิ่มสุตตะ ไปอีกองค์..ถึง..มรรคผลนิพพานเลย..*เป็นบุรุษมีตาสองข้าง*
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ทางโลก.ปัญหาคือ..ตายแล้วก็ยังไม่พ้น..นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ในทางธรรม..เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องมีสุตะตถาคต
https://www.youtube.com/watch?v=f8EHDtfwhTc
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
**ขอโภคทรัพย์จงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
**ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เราพร้อมด้วยญาติและมิตรสหาย**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
**ขอเราจงเป็นอยู่นาน จงรักษาอายุให้ยั่งยืน**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
เป็นอยู่นานรักษาอายุให้ยั่งยืนแล้ว
**เมื่อตายแล้ว ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๔ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้แล น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ ธรรม ๔ ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) ๑
สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ๑
จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) ๑
ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ๑ .
คหบดี ! ก็ สัทธาสัมปทาเป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา
เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”.
คหบดี ! นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา.
ก็ สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต
เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน
เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. นี้เรียกว่า สีลสัมปทา.
ก็ จาคสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่
มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้
และการแบ่งปัน. นี้เรียกว่า จาคสัมปทา.
ก็ ปัญญาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
บุคคลมีใจอันความโลภอย่างแรงกล้า คือ อภิชฌาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข
บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข.
คหบดี ! อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภอย่างแรงกล้า)
เป็นอุปกิเลส (โทษเครื่องเศร้าหมอง) แห่งจิต
ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้
รู้ว่า พยาบาท (คิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่ซึมเซา)
อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ย่อมละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น .
คหบดี ! เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าอภิชฌาวิสมโลภะ
เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว
เมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้
อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก
มีปัญญาหนาแน่น เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา.
นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา.
คหบดี !
ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ฆราวาสชั้นเลิศ หน้า ๒๓
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๕/๖๑.
---
คนมีตาดี สองข้าง
-------------------
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ?
คือ คนบางคนในโลกนี้มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์
ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง;
และมีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรม
ที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต
- ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.
-------------------
(บาลี) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๒/๔๖๘.
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๓๖
อภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
หน้าที่ ๑๒๙ ข้อที่ ๙๐
---
http://etipitaka.com/read/thai/36/129/…

พระอาจารย์คึกฤทธิ์-สนทนาธรรมเช้าวันอาทิตย์_หลังฉัน_2015-04-26



ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! มี ธรรมที่ลึก
ที่สัตว์อื่นเห็นได้ยาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม
เป็นธรรมเงียบสงบ ประณีต
ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงง่ายแห่งความตรึก
เป็นของละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิตวิสัย;
ซึ่งเราตถาคตได้ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง,
เป็นคุณวุฒิเครื่องนำไป
สรรเสริญของผู้ที่เมื่อจะพูดสรรเสริญเราตถาคต
ให้ถูกต้องตรงตามที่เป็นจริง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอย่างไรเล่า?
[ หมวด ๑ ปุพพันตกัปปิกวาท ๑๘ ประการ ]
----
ถ้ายังละสิ่งที่ควรละไม่ได้...รูป..เสียง..กลิ่น..รส..(กามคุณ๕ ยังไม่ได้)..ก็จะฟังธรรมะชั้นลึก..ที่ละเอียด..ลึกซึ่ง..ปราณีต..ไม่เข้าใจ..เป็นธรรมดา..ประมาณนาทีที่ 57
---

https://www.youtube.com/watch?v=DSaW_6B0YAo&feature=share
ทันตภูมิสูตร
ดูกรอัคคิเวสสนะ
เปรียบเหมือนภูเขาใหญ่ไม่ห่างไกลบ้านหรือ นิคม
สหาย ๒ คนออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้ว
จูงมือกันเข้า ไปยังที่ตั้งภูเขา
ครั้นแล้วสหายคนหนึ่ง ยืนที่เชิงภูเขาเบื้องล่าง
อีกคนหนึ่งขึ้นไป ข้างบนภูเขา
สหายที่ยืนตรงเชิงภูเขาข้างล่าง
เอ่ยถามสหายผู้ยืนบนภูเขานั้น
อย่างนี้ว่า
-
แน่ะเพื่อน เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขานั้น
เพื่อนเห็นอะไร
-
สหายคนนั้น ตอบอย่างนี้ว่า เพื่อนเอ๋ย
เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์
สหายข้างล่างกล่าวอย่างนี้ว่า
แน่ะเพื่อน ข้อที่เพื่อนยืน บนภูเขา
แล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์
นั่นไม่ใช่ ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย
-
สหายที่ยืนบนภูเขา
จึงลงมายังเชิงเขาข้างล่างแล้ว
จูงแขนสหายคนนั้นให้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น
ให้สบายใจครู่หนึ่งแล้ว
เอ่ยถาม สหายนั้นว่า แน่ะเพื่อน
เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเพื่อนเห็นอะไร
สหายคนนั้น ตอบอย่างนี้ว่า เพื่อนเอ๋ย
เรายืนบนภูเขาแล้วแลเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์
สหายคนขึ้นไปก่อนกล่าวอย่างนี้ว่า
แน่ะเพื่อน เราเพิ่งรู้ คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขา
แล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย
เดี๋ยวนี้ เอง
-
และสหายคนขึ้นไปทีหลังก็พูดว่า
เราก็เพิ่งรู้คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
แน่ะ เพื่อน เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่า รื่นรมย์
เดี๋ยวนี้เหมือนกัน
สหายคนขึ้นไปก่อนจึงพูดอย่างนี้ว่า
สหายเอ๋ย ความ เป็นจริง
เราถูกภูเขาใหญ่ลูกนี้กั้นไว้
จึงไม่แลเห็นสิ่งที่ควรเห็น นี้ ฉันใด
-
ดูกร อัคคิเวสสนะ
ฉันนั้นเหมือนกันแล
พระราชกุมารชยเสนะ ถูกกองอวิชชาใหญ่
ยิ่งกว่าภูเขาลูกนั้นกั้นไว้ บังไว้ ปิดไว้ คลุมไว้แล้ว
พระราชกุมารชยเสนะนั้นแล
-
ยังอยู่ท่ามกลางกาม
ยังบริโภคกาม
ถูกกามวิตกกิน
ถูกความเร่าร้อนเพราะกามเผา
ยังขวนขวายในการแสวงหากาม
จักทรงรู้ หรือทรงเห็น
หรือทรงทำให้แจ้ง
ซึ่งความข้อที่เขารู้
เขาเห็น
เขาบรรลุ
เขาทำให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ
นั่นไม่ ใช่ฐานะที่มีได้
-
ดูกรอัคคิเวสสนะ ถ้าอุปมา ๒ ข้อ
นี้จะพึงทำเธอให้แจ่มแจ้งแก่
พระราชกุมารชยเสนะได้
พระราชกุมารชยเสนะจะพึงเลื่อมใสเธอ
และเลื่อมใส
แล้วจะพึงทำอาการของบุคคล
ผู้เลื่อมใสต่อเธออย่างไม่น่าอัศจรรย์ ฯ
----
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๒๐๕ ข้อที่ ๓๘๘ - ๓๘๙
--
http://etipitaka.com/read/thai/14/205/…

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พุทธวจน จูฬสุญญตสูตร (๑๒๑) *เทียบเคียง..ไทย - บาลี... ธรรมะชั้นลึก ละเอียด ลึกซึ่ง ปราณีต



๑. จูฬสุญญตสูตร (๑๒๑)
*เทียบเคียง..ไทย - บาลี... ธรรมะชั้นลึก ละเอียด ลึกซึ่ง ปราณีต

‪#‎ไทย‬
[๓๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาท
ของอุบาสิกาวิสาขา มิคารมารดา 
ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี 
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากสถานที่
หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น 
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ 
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว 
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อนครกะ 
ในสักกชนบท ณ ที่นั้น 
--
ข้าพระองค์ได้สดับ 
ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า 
ดูกรอานนท์บัดนี้เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 
ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดีแล้ว 
รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว 
ทรงจำไว้ดีแล้วหรือ ฯ
---
‪#‎บาลี‬
จูฬสุญฺญตสุตฺตํ
[๓๓๓] เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ
ปุพฺพาราเม มิคารมาตุ ปาสาเท ฯ อถ โข อายสฺมา อานนฺโท
สายณฺหสมยํ ปฏิสลฺลานา วุฏฺฐิโต เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ
อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ เอกมนฺตํ
นิสินฺโน โข อายสฺมา อานนฺโท ภควนฺตํ เอตทโวจ เอกมิทํ
ภนฺเต สมยํ ภควา สกฺเกสุ วิหรติ นครกํ นาม สกฺยานํ นิคโม
ตตฺถ เม ภนฺเต ภควโต สมฺมุขา สุตํ สมฺมุขา ปฏิคฺคหิตํ สุญฺญตา
วิหาเรนาหํ อานนฺท เอตรหิ พหุลํ วิหรามีติ กจฺจิ เมตํ ภนฺเต
สุสฺสุตํ สุคหิตํ สุมนสิกตํ สุปธาริตนฺติ ฯ
---
#ไทย
[๓๓๔] พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า 
ดูกรอานนท์ แน่นอน 
นั่นเธอสดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว 
ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว 
--
ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ 
เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม 
เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ 
--
ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา
ว่างเปล่าจากทองและเงิน 
ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ 
มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น 
ฉันใด 
ดูกรอานนท์ 
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล 
--
ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน 
ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียว 
เฉพาะสัญญาว่าป่า 
-
จิตของเธอย่อมแล่นไป 
เลื่อมใสตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าป่า 
-
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า 
ในสัญญาว่าป่านี้ 
ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยสัญญาว่าบ้าน 
และชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์เลย 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือภาวะเดียวเฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น
--
เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้
ว่างจากสัญญาว่าบ้าน
สัญญานี้
ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ 
และรู้ชัดว่า
มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วย
สิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย 
และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี 
ดูกรอานนท์ 
แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง
ตามความเป็นจริง 
ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
*******************
#บาลี
[๓๓๔] ตคฺฆ เต เอตํ อานนฺท สุสฺสุตํ สุคหิตํ สุมนสิกตํ
สุปธาริตํ ๑ ฯ ปุพฺเพ จาหํ ๒ อานนฺท เอตรหิ จ สุญฺญตาวิหาเรน
พหุลํ วิหรามิ ฯ เสยฺยถาปิ อานนฺท อยํ มิคารมาตุ ปาสาโท
สุญฺโญ หตฺถิ ควาสฺสวลเวน สุญฺโญ ชาตรูปรชเตน สุญฺโญ
อิตฺถีปุริสสนฺนิปาเตน ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปฏิจฺจ
เอกตฺตํ เอวเมว โข อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา คามสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา มนุสฺสสญฺญํ อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิกโรติ
#๑ ม. ยุ. สูปธาริตํ ฯ ๒ ม. ปาหํ ฯ
เอกตฺตํ ฯ ตสฺส อรญฺญสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ
อธิมุจฺจติ ๑ ฯ โส เอวํ ปชานาติ เย อสฺสุ ทรถา คามสญฺญํ
ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา มนุสฺสสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ
น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ
เอกตฺตนฺติ ฯ โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ คามสญฺญายาติ ปชานาติ
สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ มนุสฺสสญฺญายาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ
อสุญฺญตํ ยทิทํ อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ อิติ ยํ หิ
โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ
อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา
อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
*******************
#ไทย 
[๓๓๕] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์
ไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่า 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดิน 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดิน 
เปรียบเหมือน หนังโคที่เขาขึงดีแล้วด้วยหลักตั้งร้อย 
เป็นของปราศจากรอยย่น 
ฉันใด 
ดูกร อานนท์ 
ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจแผ่นดินนี้ 
ซึ่งจะมีชั้นเชิง มีแม่น้ำ ลำธาร 
มีที่เต็มด้วยตอหนาม มีภูเขา
และพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ ทั้งหมด 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่า แผ่นดิน 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในสัญญาว่าแผ่นดิน 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า 
ในสัญญาว่าแผ่นดินนี้ 
ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยสัญญาว่ามนุษย์ 
และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือภาวะเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น 
เธอ รู้ชัดว่า 
สัญญานี้
ว่างจากสัญญาว่ามนุษย์ 
สัญญานี้
ว่างจากสัญญาว่าป่า 
และรู้ชัดว่า
มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะสัญญาว่าแผ่นดินเท่านั้น 
ด้วยอาการนี้แหละเธอจึง 
พิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย 
และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี 
ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง
ตามความเป็นจริง 
ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
---
#บาลี
[๓๓๕] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา มนุสฺสสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา อรญฺญสญฺญํ ปฐวีสญฺญํ ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ
ตสฺส ปฐวีสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ
เสยฺยถาปิ อานนฺท อาสภจมฺมํ ๒ สงฺกุสเตน สุวิหตํ วิคตวลิกํ
เอวเมว โข อานนฺท ภิกฺขุ ยํ อิมิสฺสา ปฐวิยา อุกฺกุลวิกุลํ นทีวิทุคฺคํ
ขาณุกณฺฏกธานํ ๓ ปพฺพตวิสมํ ตํ สพฺพํ อมนสิกริตฺวา ปฐวีสญฺญํ
ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส ปฐวีสญฺญา จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ
ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ ปชานาติ เย อสฺสุ
ทรถา มนุสฺสสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา
#๑ ยุ. วิมุจฺจติ ฯ ๒ ยุ. อุสภจมฺมํ ฯ ๓ ยุ. ขาณุกณฺฏกาธารนฺติ ทิสฺสติ ฯ
‪#‎สี‬. ขาณุกนฺตกธรนฺติ ทิสฺสติ ฯ
อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา
ยทิทํ ปฐวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ
มนุสฺสสญฺญายาติ ปชานาติ สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อรญฺญสญฺญายาติ
ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ ปฐวีสญฺญํ
ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ อิติ ยํ หิ โข ตตฺถ น โหติ เตน
ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ
อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา อานนฺท ยถาภุจฺจา
อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
---
#ไทย
[๓๓๖] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าป่า
ไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตน
สัญญาจิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส
ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในอากาสานัญจายตน สัญญา 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า 
ในอากาสานัญจายตน
สัญญานี้ 
ไม่มีความกระวนกระวาย 
ชนิดที่อาศัยสัญญาว่าป่า
และชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย 
คือภาวะเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าป่า 
สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน 
และรู้ ชัดว่า
มีไม่ว่างอยู่ก็คือ
สิ่งเดียวเฉพาะอากาสานัญจายตนสัญญาเท่านั้น 
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย 
และรู้ ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้น
อันยังมีอยู่ว่ามี 
ดูกรอานนท์ 
แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง 
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์
ของภิกษุนั้น ฯ
---
#บาลี
[๓๓๖] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อรญฺญสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา ปฐวีสญฺญํ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ
มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส อากาสานญฺจายตนสญฺญาย จิตฺตํ
ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ ปชานาติ
เย อสฺสุ ทรถา อรญฺญสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ
ทรถา ปฐวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ
ทรถมตฺตา ยทิทํ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ โส
สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อรญฺญสญฺญายาติ ปชานาติ สุญฺญมิทํ
สญฺญาคตํ ปฐวีสญฺญายาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ
ยทิทํ อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ อิติ ยํ หิ
โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ
อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา
อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
----
#ไทย
[๓๓๗] ดูกรอานนท์ 
ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจสัญญาว่าแผ่นดิน 
ไม่ใส่ใจอากาสานัญจายตนสัญญา 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ
วิญญาณัญจายตนสัญญา
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในวิญญาณัญจายตนสัญญา 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ในวิญญาณัญจายตนสัญญาน้ีไม่มีความกระวน 
กระวายชนิดที่อาศัยสัญญาว่าแผ่นดิน 
และชนิดที่อาศัยอากาสานัญจายตนสัญญา 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย 
คือภาวะเดียวเฉพาะวิญญาณัญจายตนสัญญาเท่านั้น 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากสัญญาว่าแผ่นดิน 
สัญญานี้ว่างจากอากาสานัญ จายตนสัญญา
และรู้ชัดว่า 
มีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะวิญญาณัญจายตนสัญญา
เท่านั้น 
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ใน 
สัญญานั้นเลย
และรู้ชัด
สิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี 
ดูกรอานนท์ 
แม้อย่างนี้ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง 
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด 
บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
-----
#บาลี
[๓๓๗] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา ปฐวีสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญาย
จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ ปชานาติ
เย อสฺสุ ทรถา ปฐวีสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา
อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ
ทรถมตฺตา ยทิทํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ
โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ ปฐวีสญฺญายาติ ปชานาติ สุญฺญมิทํ
สญฺญาคตํ อากาสานญฺจายตนสญฺญายาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ
อสุญฺญตํ ยทิทํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ
อิติ ยํ หิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ
ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ
เอวมฺปิสฺส เอสา อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา
สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
-----
#ไทย
[๓๓๘] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจอากาสานัญจายตนสัญญา 
ไม่ใส่ใจวิญญาณัญจายตนสัญญา 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะอากิญจัญญา ยตนสัญญา 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในอากิญ จัญญายตนสัญญา 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ในอากิญจัญญายตนสัญญานี้
ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยอากาสานัญจายตนสัญญา
และชนิดที่อาศัยวิญญาณัญจายตนสัญญา 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือภาวะเดียวเฉพาะ
อากิญจัญญายตนสัญญาเท่านั้น 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากอากาสานัญจายตนสัญญา 
สัญญานี้่ว่างจากวิญญาณัญจายตนสัญญา 
และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะอากิญจัญญายตนสัญญาเท่านั้น 
ด้วยอาการนี้แหละ
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย
และรู้ชัด
สิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้น
อันยังมีอยู่ว่ามี 
ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง 
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาดบริสุทธิ์ 
ของภิกษุนั้น ฯ
-----
#บาลี
[๓๓๘] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส อากิญฺจญฺญายตนสญฺญาย
จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ
ปชานาติ เย อสฺสุ ทรถา อากาสานญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ
น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ
น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากาสานญฺจายตนสญฺญายาติ
ปชานาติ สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญายาติ
ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ
อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ อิติ ยํ หิ โข
ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ
อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา
อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
----
#ไทย 
[๓๓๙] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจวิญญาณัญจายตนสัญญา 
ไม่ใส่ใจอากิญจัญญายตนสัญญา 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า 
ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา นี้ 
ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยวิญญาณัญจายตนสัญญา
และชนิดที่อาศัย อากิญจัญญายตนสัญญา 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือภาวะเดียวเฉพาะ
เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเท่านั้น 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากวิญญาณัญจายตนสัญญา 
สัญญานี้ว่างจากอากิญจัญญายตนสัญญา 
และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
เฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเท่านั้น 
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย 
และรู้ชัด
สิ่งที่เหลืออยู่ใน สัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี 
ดูกรอานนท์ 
แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง 
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์
ของภิกษุนั้น ฯ
---
#บาลี
[๓๓๙] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส
เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาย จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ
อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ ปชานาติ เย อสฺสุ ทรถา วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ
ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา
ยทิทํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เอกตฺตนฺติ ฯ
โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญายาติ ปชานาติ
สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ อากิญฺจญฺญายตนสญฺญายาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ
เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ
เอกตฺตนฺติ ฯ อิติ ยํ หิ โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ
สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ
ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา
ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
--- 
#ไทย 
[๓๔๐] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญายตนสัญญา 
ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ในเจโตสมาธินี้ 
ไม่มีความ กระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยอากิญจัญญายตนสัญญา
และชนิดที่อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
มีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖
อาศัยกายนี้เอง
เพราะชีวิตเป็นปัจจัย 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากอากิญจัญญายตน สัญญา
สัญญานี้ว่างจากเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
และรู้ชัดว่า
มีไม่ว่างอยู่
ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ 
อาศัยกายนี้เอง
เพราะชีวิตเป็นปัจจัย 
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย 
และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ว่ามี 
ดูกรอานนท์ 
แม้อย่างนี้ 
ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง 
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด
บริสุทธิ์ ของ ภิกษุนั้น ฯ
---
#บาลี
[๓๔๐] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ อนิมิตฺตํ
เจโตสมาธึ ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส อนิมิตฺเต
เจโตสมาธิมฺหิ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส เอวํ
ปชานาติ เย อสฺสุ ทรถา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ เตธ
น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ ปฏิจฺจ
เตธ น สนฺติ อตฺถิ เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ อิมเมว กายํ
ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยาติ ฯ โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ
อากิญฺจญฺญายตนสญฺญายาติ ปชานาติ สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ
เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญายาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ
ยทิทํ อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยาติ ฯ อิติ ยํ หิ
โข ตตฺถ น โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ
อวสิฏฺฐํ โหติ ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา
อานนฺท ยถาภุจฺจา อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
---
#ไทย
[๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก 
ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตนสัญญา 
ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ 
อันไม่มีนิมิต 
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น 
และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล 
ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ 
ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น 
ไม่เที่ยงมีความดับไปเป็นธรรมดา 
เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ 
จิตย่อมหลุดพ้น
แม้จากกามาสวะ 
แม้จากภวาสวะ 
แม้จากอวิชชาสวะ 
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว 
ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว 
รู้ชัดว่า 
ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว 
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว 
กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี 
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ในญาณนี้ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยกามาสวะ 
ชนิดที่อาศัยภวาสวะ
และชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ 
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย 
คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ 
อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย 
เธอรู้ชัดว่า 
สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ 
สัญญานี้ว่างจากภวาสวะ 
สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ 
และรู้ชัดว่า
มีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด แห่งอายตนะ ๖ 
อาศัยกายนี้เอง
เพราะชีวิตเป็นปัจจัย 
ด้วยอาการนี้แหละ 
เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย 
และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี 
ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ 
เป็นการก้าวลงสู่ ความว่าง 
ตามความเป็นจริง
ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
-----
#บาลี
[๓๔๑] ปุน จปรํ อานนฺท ภิกฺขุ อมนสิกริตฺวา อากิญฺจญฺญายตนสญฺญํ
อมนสิกริตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญํ อนิมิตฺตํ
เจโตสมาธึ ปฏิจฺจ มนสิกโรติ เอกตฺตํ ฯ ตสฺส อนิมิตฺเต
เจโตสมาธิมฺหิ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฏฺฐติ อธิมุจฺจติ ฯ โส
เอวํ ปชานาติ อยํ หิ โข อนิมิตฺโต เจโตสมาธิ อภิสงฺขโต
อภิสญฺเจตยิโต ฯ ยํ โข ปน กิญฺจิ อภิสงฺขตํ อภิสญฺเจตยิตํ
ตทนิจฺจํ นิโรธธมฺมนฺติ ปชานาติ ฯ ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ
ปสฺสโต กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ
อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ
ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ
ปชานาติ ฯ โส เอวํ ปชานาติ เย อสฺสุ ทรถา กามาสวํ
ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา ภวาสวํ ปฏิจฺจ เตธ น
สนฺติ เย อสฺสุ ทรถา อวิชฺชาสวํ ปฏิจฺจ เตธ น สนฺติ อตฺถิ
เจวายํ ทรถมตฺตา ยทิทํ อิมเมว กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ
ชีวิตปจฺจยาติ ฯ โส สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ กามาสเวนาติ ปชานาติ
สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ ภวาสเวนาติ ปชานาติ สุญฺญมิทํ สญฺญาคตํ
อวิชฺชาสเวนาติ ปชานาติ ฯ อตฺถิ เจวิทํ อสุญฺญตํ ยทิทํ อิมเมว
กายํ ปฏิจฺจ สฬายตนิกํ ชีวิตปจฺจยาติ ฯ อิติ ยํ หิ โข ตตฺถ น
โหติ เตน ตํ สุญฺญํ สมนุปสฺสติ ยํ ปน ตตฺถ อวสิฏฺฐํ โหติ
ตํ สนฺตํ อิทมตฺถีติ ปชานาติ ฯ เอวมฺปิสฺส เอสา อานนฺท ยถาภุจฺจา
อวิปลฺลตฺถา ปริสุทฺธา ปรมานุตฺตรา สุญฺญตาวกฺกนฺติ ภวติ ฯ
-----
#ไทย
[๓๔๒] ดูกรอานนท์ 
สมณะหรือพราหมณ์
ในอดีตกาลไม่ว่าพวกใดๆ 
ที่ บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ 
เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น 
ก็ได้บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ 
เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ 
สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
ไม่ว่าพวกใดๆ ที่จะบรรลุสุญญตสมาบัติ
อันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ 
ทั้งหมดนั้น ก็จัก 
บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ 
สมณะหรือพราหมณ์
ในบัดนี้ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ 
เยี่ยมยอดอยู่ 
ทั้งหมดนั้นย่อมบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ 
เยี่ยมยอดนี้เองอยู่ 
ดูกรอานนท์ เพราะ ฉะนั้นแล 
พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า 
เราจักบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ 
เยี่ยมยอดอยู่ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว 
ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี 
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
จบ จูฬสุญญตสูตร ที่ ๑
-------
#บาลี
[๓๔๒] เยปิ ๑ หิ เกจิ อานนฺท อตีตมทฺธานํ สมณา วา
#๑ ยุ. สพฺพตฺถ เย ฯ ปิสทฺโท นตฺถิ ฯ
พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรึสุ
สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช
วิหรึสุ ฯ เยปิ หิ เกจิ อานนฺท อนาคตมทฺธานํ สมณา วา
พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช
วิหริสฺสนฺติ สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ
อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสนฺติ ฯ เยปิ หิ เกจิ อานนฺท เอตรหิ สมณา
วา พฺราหฺมณา วา ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช
วิหรนฺติ สพฺเพ เต อิมํเยว ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ สุญฺญตํ
อุปสมฺปชฺช วิหรนฺติ ฯ ตสฺมาติห อานนฺท ปริสุทฺธํ ปรมานุตฺตรํ
สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสามาติ ๑ เอวญฺหิ โว อานนฺท
สิกฺขิตพฺพนฺติ ฯ
อิทมโวจ ภควา อตฺตมโน อายสฺมา อานนฺโท ภควโต
ภาสิตํ อภินนฺทีติ ฯ
จูฬสุญฺญตสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ปฐมํ ฯ
_____
#๑ ยุ. วิหริสฺสามีติ ฯ
*****
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๑๘๐ ข้อที่ ๓๓๓ - ๓๔๒
*****
link ;; เทียบเคียง...ไทย - บาลี
http://etipitaka.com/compare/thai/pali/14/180/
****
‪#‎ว่าด้วยการหละหลวมในธรรม‬(ปริยัติที่เป็นงูพิษ)
*เพราะความไม่แยบคายตีความผิดกันทั้งบ้านทั้งเมือง*
ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในกรณีนี้ 
เล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) คือ สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ, 
พวกโมฆบุรุษเหล่านั้น ครั้นเล่าเรียน ธรรมนั้น ๆ แล้ว 
****
***ไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา.
เมื่อไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความด้วยปัญญา 
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น 
***ย่อมไม่ทน ต่อการเพ่งพิสูจน์ ของโมฆบุรุษเหล่านั้น;
พวกโมฆบุรุษเหล่านั้น เล่าเรียน ธรรมด้วย
***การเพ่งหาข้อบกพร่อง (ของธรรมหรือของลัทธิใดลัทธิหนึ่ง)
และ
***มีความคิดที่จะใช้เป็นเครื่องทำลายลัทธิใดลัทธิหนึ่ง 
เป็นอานิสงส์. 
---
ผู้รู้ทั้งหลาย เล่าเรียนพระปริยัติธรรม 
***เพื่อคุณประโยชน์อันใด,
พวกโมฆบุรุษ เหล่านั้น 
หาได้รับคุณประโยชน์อันนั้นแห่งธรรมไม่, 
--
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น 
ก็เลยเป็นธรรมที่โมฆบุรุษเหล่านั้น
***ถือเอาไม่ดี 
เป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เกื้อกูล 
เพื่อทุกข์แก่เขาเหล่านั้นตลอดกาลนาน. 
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะ 
ความที่ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้น
***ถือเอาไม่ดีเป็นเหตุ.
--
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการ
ใคร่จะได้งู 
เที่ยวเสาะแสวงงูอยู่, 
บุรุษนั้น ครั้นเห็นงูตัวใหญ่
ก็เข้าจับงูนั้นที่ตัวหรือที่หาง, 
อสรพิษตัวนั้น ก็จะพึงกลับฉกเอามือหรือแขน
หรืออวัยวะแห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น; 
บุรุษนั้น ก็จะตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย
เพราะการฉกเอาของ อสรพิษนั้นเป็นเหตุ. 
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? 
เพราะความที่บุรุษนั้นจับงูไม่ดี 
(คือไม่ถูกวิธี) เป็นเหตุ, ข้อนี้ฉันใด ;
--
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
โมฆบุรุษบางพวกในกรณีนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน, 
เขาเล่าเรียนปริยัติธรรม (นานาชนิด) 
คือ สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ, 
พวกโมฆบุรุษเหล่านั้น ครั้นเล่าเรียนธรรมนั้น ๆ แล้ว 
---
**ไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น 
ด้วยปัญญา 
เมื่อไม่สอดส่องใคร่ครวญเนื้อความด้วยปัญญา 
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น 
****ย่อมไม่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์
ของโมฆบุรุษเหล่านั้น ;
--
โมฆบุรุษเหล่านั้น เล่าเรียน ธรรม
****ด้วยการเพ่งหาข้อบกพร่อง 
(ของธรรมหรือของลัทธิใดลัทธิหนึ่ง) 
และมีความคิดที่จะ
***ใช้เป็นเครื่องทำลายลัทธิใดลัทธิหนึ่งเป็นอานิสงส์. 
---
ผู้รู้ทั้งหลาย เล่าเรียน ปริยัติธรรม 
เพื่อคุณประโยชน์อันใด, 
โมฆบุรุษเหล่านั้น หาได้รับคุณประโยชน์ 
อันนั้นแห่งธรรมไม่ ; 
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น 
ก็เลยเป็นธรรมที่โมฆบุรุษเหล่านั้น
ถือเอาไม่ดี เป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล 
เพื่อทุกข์แก่เขาเหล่านั้น ตลอดกาลนาน. 
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะความที่ธรรมทั้งหลาย อันโมฆบุรุษ เหล่านั้น
ถือเอาไม่ดีเป็นเหตุ แล. 
________________________________
อลคัททูปมสูตร มู.ม. ๑๒/๒๗๘/๒๖๗ 
ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
การเพ่งพิสูจน์ในที่นี้ หมายถึงเพ่งโทษ 
หรือเพ่งจับผิดรวมอยู่ด้วย.
--
‪#‎กุลบุตรเรียนธรรม‬
ในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นนั่นแล 
ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา
อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ 
กุลบุตรเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว 
-
ย่อมไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา 
ธรรมเหล่านั้น ย่อมควรซึ่งการเพ่งแก่กุลบุตรเหล่านั้น
ผู้ไตร่ตรองซึ่งเนื้อความด้วยปัญญา 
กุลบุตรเหล่านั้น 
ไม่เป็นผู้มีการข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ 
และไม่มีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ 
ย่อมเล่าเรียนธรรม 
-
และกุลบุตรเหล่านั้น 
ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์ใด 
ย่อมได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น 
ธรรมเหล่านั้นอันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว 
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ 
เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร 
เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียนดีแล้ว. 
-
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เพราะเหตุนั้น 
เธอทั้งหลายพึงรู้ถึงเนื้อความแห่งภาษิตของเราอย่างใด 
พึงทรงจำไว้อย่างนั้นเถิด 
ก็แลท่านทั้งหลาย 
ไม่พึงรู้ถึงเนื้อความแห่งภาษิตของเรา 
พึงสอบถามเรา 
หรือถามภิกษุผู้ฉลาดก็ได้
-
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
หน้าที่ ๑๘๖/๔๓๐ ข้อที่ ๒๗๙
http://etipitaka.com/read…#
***************************
‪#‎ท่องจำไปก่อนคะ‬.. เป็นปฏิจจสมุปบาทแห่งการตามรู้ซึ่งพระสัทธรรม
‪#‎การทรงจำธรรมนั้นไว้มีอุปการระมากแก่การใคร่ครวญพิจารณาธรรมที่ตนทรงจำไว้‬
การใคร่ครวญพิจารณาธรรมที่ตนทรงจำไว้มีอุปการระมากแก่ธรรมทั้งหลายทนต่อการเพ่งพิสูจน์
ธรรมทั้งหลายทนต่อการเพ่งพิสูจน์มีอุปการระมากแก่ฉันทะ
ฉันทะมีอุปการระมากแก่ความอุตสาหะ
ความอุตสาหะมีอุปการะมากแก่ปัญญาเครื่องพิจารณา
ปัญญาเครื่องพิจารณามีอุปการะมากแก่ความเพียร
ความเพียรมีอุปการะมากแก่การบรรลุซึ่งสัจธรรม
---
‪#‎การทรงจำเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก‬ พระศาสดาตรัสไว้ดังนี้
------------------------------------------------------------------------
***********************************************************
‪#‎การตามรู้ซึ่งความจริง‬ (สจฺจานุโพโธ)
“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! การตามรู้ซึ่งความจริง (สจฺจานุโพโธ)
มีได้ ด้วยการกระทำเพียงเท่าไร ? บุคคลชื่อว่าตามรู้ซึ่งความจริง
ด้วยการกระทำเพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้าขอถามพระโคดมผู้เจริญถึงการ
ตามรู้ซึ่งความจริง”
ภารท๎วาชะ ! ได้ยินว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้
เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านหรือในนิคมแห่งใดแห่งหนึ่ง. คหบดี
หรือคหบดีบุตร ได้เข้าไปใกล้ภิกษุนั้นแล้วใคร่ครวญดูอยู่
ในใจเกี่ยวกับธรรม ๓ ประการ คือ :-
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ....
เมื่อเขาใคร่ครวญดูอยู่ซึ่งภิกษุนั้น ย่อมเล็งเห็นว่า
เป็นผู้บริสุทธิ์จากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ ต่อแต่นั้น
เขาจะพิจารณาใคร่ครวญภิกษุนั้นให้ยิ่งขึ้นไปในธรรม
ทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งโทสะ….ในธรรมทั้งหลายอันเป็น
ที่ตั้งแห่งโมหะ…. เมื่อเขาใคร่ครวญดูอยู่ซึ่งภิกษุนั้น
ย่อมเล็งเห็นว่า เป็นผู้บริสุทธิ์จากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โทสะ....ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ
ลำดับนั้น เขา :-
(๑) ปลูกฝัง ศรัทธา ลงไปในภิกษุนั้น ครั้นมี
ศรัทธาเกิดแล้ว
(๒) ย่อม เข้าไปหา ครั้นเข้าไปหาแล้ว
(๓) ย่อม เข้าไปนั่งใกล้ ครั้นเข้าไปนั่งใกล้แล้ว
(๔) ย่อม เงี่ยโสตลง ครั้นเงี่ยโสตลง
(๕) ย่อม ฟังซึ่งธรรม ครั้นฟังซึ่งธรรมแล้ว
(๖) ย่อม ทรงไว้ซึ่งธรรม
(๗) ย่อม ใคร่ครวญซึ่งเนื้อความแห่งธรรมทั้งหลาย
อันตนทรงไว้แล้ว เมื่อใคร่ครวญซึ่งเนื้อความแห่งธรรมอยู่
(๘) ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อความเพ่งพินิจ,
เมื่อการทนต่อการเพ่งพินิจของธรรมมีอยู่
(๙) ฉันทะย่อมเกิดขึ้น ผู้มีฉันทะเกิดขึ้นแล้ว
(๑๐) ย่อม มีอุสสาหะ ครั้นมีอุสสาหะแล้ว
(๑๑) ย่อม พิจารณาหาความสมดุลย์แห่งธรรม,
ครั้นมีความสมดุลย์แห่งธรรมแล้ว
(๑๒) ย่อม ตั้งตนไว้ในธรรมนั้น; เขาผู้มีตน
ส่งไปแล้วอย่างนี้อยู่ ย่อม กระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถสัจจะ
(ความจริงโดยจริงความหมายสูงสุด) ด้วยนามกาย ด้วย,
ย่อม แทงตลอดซึ่งธรรมนั้น แล้วเห็นอยู่ด้วยปัญญา ด้วย.
ภารท๎วาชะ !
การตามรู้ซึ่งความจริง ย่อมมี
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้,
บุคคลชื่อว่าย่อมตามรู้ซึ่งความจริง
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้,
และเราบัญญัติการตามรู้ซึ่งความจริง
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้;
แต่ว่านั่นยังไม่เป็นการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง.
-------------------
‪#‎การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง‬
(สจฺจานุปตฺติ)
“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง
(สจฺจานุปตฺติ) มีได้ ด้วยการกระทำเพียงเท่าไร ? บุคคลชื่อว่าย่อมตามบรรลุถึง
ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำเพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้าขอถามพระโคดมผู้เจริญ
ถึงการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง”
ภารท๎วาชะ ! การเสพคบ การทำให้เจริญ
การกระทำให้มาก ซึ่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้นแหละ (ทั้ง ๑๒ ข้อ
ข้างต้น) เป็นการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง.
ภารท๎วาชะ !
การตามบรรลุถึงซึ่งความจริง ย่อมมี
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้,
บุคคลชื่อว่าย่อมตามบรรลุถึงซึ่งความจริง
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้,
และเราบัญญัติการตามบรรลุถึงซึ่งความจริง
ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้.
ม. ม. ๑๓/๖๐๑-๖๐๕/๖๕๕-๖๕๗. --------------