วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อภิธรรม



‪#‎อภิธรรม‬ 
‪#‎โพธิปักขิยธรรม๓๗ประการ‬
สติปัฏฐาน ๔ 
สัมมัปปทาน ๔ 
อิทธิบาท ๔ 
อินทรีย์ ๕ 
พละ๕ 
โพชฌงค์ ๗ 
อริยมรรคมีองค์ ๘
*********************************
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
*********************
ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง 
ธรรมเหล่านั้น พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี 
พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำให้มาก 
โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ 
จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน.
-
ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก 
เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก 
เพื่ออนุเคราะห์โลก, 
และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล 
เพื่อความสุขทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
-
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมเหล่าไหนเล่า ที่เราแสดงด้วยปัญญาอันยิ่ง? 
ธรรมเหล่านั้นได้แก่ 
สติปัฏฐาน ๔ 
สัมมัปปธาน ๔ 
อิทธิบาท ๔ 
อินทรีย์ ๕
พละ ๕ 
โพชฌงค์ ๗ 
อริยมรรคมีองค์ ๘.
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมเหล่านี้แล 
ที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง 
เป็นสิ่งที่พวกเธอทั้งหลาย 
พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม 
กระทำให้มากโดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ 
จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน.
-
ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก 
เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก 
เพื่ออนุเคราะห์โลก, 
และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล 
เพื่อความสุข ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
*****************************
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ มีรายละเอียดดังนี้
***สติปัฏฐาน ๔
๑.กาย
๒.เวทนา
๓.จิต
๔.ธรรม
*****************************
***สัมมัปปธาน ๔
๑.สังวรปธาน คือ เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) 
เกิดขึ้น
๒.ปหานปธาน คือ เพียรเพื่อละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
๓.ภาวนาปธาน คือ เพียรเพื่อให้กุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น
๔.อนุรักขนาปธาน คือ เพียรเพื่อความเจริญ มั่นคง บริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
*****************************
***อิทธิบาท ๔
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
*****************************
***อินทรีย์ ๕
๑. สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่ในอารมณ์ เป็นศรัทธา
อันแรงกล้าในจิตใจ ซึ่งอกุศลไม่อาจทำให้ศรัทธานั้นเสื่อมคลายได้
๒. วิริยินทรีย์ มีความเพียรเป็นใหญ่ และต้องเป็นความเพียรที่บริบูรณ์ด้วยองค์ 4 แห่งสัมมัปปธาน
๓. สตินทรีย์ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบัน อันเกิดจาก
สติปัฏฐาน 4
๔. สมาธินทรีย์ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ไม่ฟุ้งซ่าน
๕. ปัญญินทรีย์ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงว่าขันธ์ 5 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
*****************************
***พละ ๕
๑. ศรัทธาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่มีศรัทธา
๒. วิริยพละ ไม่หวั่นไหวต่อความเกียจคร้าน
๓. สติพละ ไม่หวั่นไหวต่อการหลงลืมสติ
๔. สมาธิพละ ไม่หวั่นไหวต่อความฟุ้งซ่าน
๕. ปัญญาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่รู้
*****************************
***โพชฌงค์ ๗
สติ ความระลึกได้
ธรรมวิจยะ การวินิจฉัยธรรม
วิริยะ ความเพียร
ปีติ ความอิ่มใจ
ปัสสัทธิ ความสงบ
สมาธิ จิตตั้งมั่น
อุเบกขา ความวางเฉย
*****************************
***อริยมรรคมีองค์ ๘
๑. สัมมาทิฐิ : ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔ 
(คือเห็นว่า ความเกิดเป็นทุกข์ 
ความแก่และความตายเป็นทุกข์ 
การพลัดพรากสิ่งที่รักประสบสิ่งที่ไม่รัก 
ปรารถนาสิ่งใดไม่สมหวังสิ่งเหล่านี้ก็เป็นทุกข์ 
การเอาชนะความคิดดีหรือชั่ว
ไม่ได้ปัดให้ออกจากตัวทันทีไม่ได้ก็เป็นทุกข์)
๒. สัมมาสังกัปปะ : ความดำริชอบ คือคิดออกจากกาม 
ไม่คิดพยาบาท และคิดที่จะไม่เบียดเบียนใคร
๓. สัมมาวาจา : วาจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ 
ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๔. สัมมากัมมันตะ : กระทำชอบ คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ 
เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ :เลี้ยงชีวิตชอบ คือ การประกอบอาชีพแต่ในทางสุจริต 
ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน 
ไม่ผิดจากหน้าที่อันควร
๖. สัมมาวายามะ : ความเพียรชอบ คือ เพียรในที่ ๔ สถาน 
(พยายามละอกุศลที่ยังไม่ได้ละ…
อันไหนที่ละได้แล้วก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก 
พยายาทำให้กุศลเกิดขึ้น…
อันไหนที่มีเกิดขึ้นแล้วก็พยายามทำให้เจริญยิ่ง ขึ้น)
๗. สัมมาสติ : ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔…
กาย เวทนา จิต ธรรม 
(พยายามให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ 
พยายามที่จะฝึกในแง่ที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง)
๘. สัมมาสมาธิ : สมาธิชอบ (ตั้งใจมั่นชอบ) คือ เจริญฌานทั้ง ๔ 
(หมายถึงการเข้าสมาธิที่เป็นไปเพื่อละนิวรณ์โดยตรง 
คือตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป)
*****************************
[๔๔] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นอันว่าพวกเธอมีความดำริ
ในเราอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคผู้อนุเคราะห์ 
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล 
อาศัยความอนุเคราะห์แสดงธรรม 
เพราะฉะนั้นแล 
ธรรมเหล่าใด อันเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลายด้วยความรู้ยิ่ง 
คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ 
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
เธอทั้งปวงพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน 
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่ในธรรมเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็เมื่อพวกเธอนั้นพร้อมเพรียงกัน 
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่ จะพึงมีภิกษุผู้กล่าวต่างกัน
ในธรรมอันยิ่ง เป็นสองรูป ฯ
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

https://www.youtube.com/watch?v=s38MHLcVGI8

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น