คลิปนี้คำถามดีมากๆ..คำถามโลกๆ..พระอาจารย์ตอบ..ส่งถึงนิพพานเลยคะ..
อนุโมทนากับผู้ถามทุกๆ คำถาม และผู้อับโหลดคะ
**อยากเพิ่มยอดขายทำอย่างไร**
ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา(อานาปานสติ) เจริญมาก กระทำมาก
สร้างเหตุถูก ผลก็ต้องได้ถูก แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอา
เพิ่มสุตตะ ไปอีกองค์..ถึง..มรรคผลนิพพานเลย..*เป็นบุรุษมีตาสองข้าง*
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ทางโลก.ปัญหาคือ..ตายแล้วก็ยังไม่พ้น..นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ในทางธรรม..เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องมีสุตะตถาคต
https://www.youtube.com/watch?v=f8EHDtfwhTc
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
อนุโมทนากับผู้ถามทุกๆ คำถาม และผู้อับโหลดคะ
**อยากเพิ่มยอดขายทำอย่างไร**
ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา(อานาปานสติ) เจริญมาก กระทำมาก
สร้างเหตุถูก ผลก็ต้องได้ถูก แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอา
เพิ่มสุตตะ ไปอีกองค์..ถึง..มรรคผลนิพพานเลย..*เป็นบุรุษมีตาสองข้าง*
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ทางโลก.ปัญหาคือ..ตายแล้วก็ยังไม่พ้น..นรก กำเนิดเดรัจฉาน เปรตวิสัย
ตาข้างหนึ่งทำให้เกิดทรัพย์ในทางธรรม..เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องมีสุตะตถาคต
https://www.youtube.com/watch?v=f8EHDtfwhTc
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
**ขอโภคทรัพย์จงเกิดขึ้นแก่เราโดยทางธรรม**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๑ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
**ขอยศจงเฟื่องฟูแก่เราพร้อมด้วยญาติและมิตรสหาย**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๒ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
**ขอเราจงเป็นอยู่นาน จงรักษาอายุให้ยั่งยืน**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
เป็นอยู่นานรักษาอายุให้ยั่งยืนแล้ว
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๓ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
เราได้โภคทรัพย์ทั้งหลายโดยทางธรรมแล้ว
ได้ยศพร้อมด้วยญาติและมิตรสหายแล้ว
เป็นอยู่นานรักษาอายุให้ยั่งยืนแล้ว
**เมื่อตายแล้ว ขอเราจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์**
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๔ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
นี้เป็นธรรม ประการที่ ๔ อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้แล น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
คหบดี ! ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ ธรรม ๔ ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก
ธรรม ๔ ประการ เป็นอย่างไรเล่า ? คือ :-
สัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) ๑
สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ๑
จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) ๑
ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ๑ .
สีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ๑
จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) ๑
ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ๑ .
คหบดี ! ก็ สัทธาสัมปทาเป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้มีศรัทธา
เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”.
คหบดี ! นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา.
เชื่อปัญญาตรัสรู้ของตถาคตว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์”.
คหบดี ! นี้เรียกว่า สัทธาสัมปทา.
ก็ สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต
เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน
เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. นี้เรียกว่า สีลสัมปทา.
เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน
เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย
อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. นี้เรียกว่า สีลสัมปทา.
ก็ จาคสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่
มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้
และการแบ่งปัน. นี้เรียกว่า จาคสัมปทา.
มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม
ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้
และการแบ่งปัน. นี้เรียกว่า จาคสัมปทา.
ก็ ปัญญาสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
บุคคลมีใจอันความโลภอย่างแรงกล้า คือ อภิชฌาครอบงำแล้ว
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข
บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข.
ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข
บุคคลมีใจอันพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
อันวิจิกิจฉาครอบงำแล้ว ย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ ละเลยกิจที่ควรทำ
เมื่อทำกิจที่ไม่ควรทำและละเลยกิจที่ควรทำเสีย
ย่อมเสื่อมจากยศและความสุข.
คหบดี ! อริยสาวกนั้นแลรู้ว่า
อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภอย่างแรงกล้า)
เป็นอุปกิเลส (โทษเครื่องเศร้าหมอง) แห่งจิต
ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้
รู้ว่า พยาบาท (คิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่ซึมเซา)
อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ย่อมละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น .
อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภอย่างแรงกล้า)
เป็นอุปกิเลส (โทษเครื่องเศร้าหมอง) แห่งจิต
ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นอุปกิเลสแห่งจิตเสียได้
รู้ว่า พยาบาท (คิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่ซึมเซา)
อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านรำคาญ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ย่อมละเสียซึ่งสิ่งที่เป็นอุปกิเลสแห่งจิตเหล่านั้น .
คหบดี ! เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าอภิชฌาวิสมโลภะ
เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว
เมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้
อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก
มีปัญญาหนาแน่น เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา.
นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา.
เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว เมื่อนั้นย่อมละเสียได้
เมื่อใดอริยสาวกรู้ว่าพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา เป็นอุปกิเลสแห่งจิตดังนี้แล้ว
เมื่อนั้นย่อมละสิ่งเหล่านั้นเสียได้
อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญามาก
มีปัญญาหนาแน่น เป็นผู้เห็นทาง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา.
นี้เรียกว่า ปัญญาสัมปทา.
คหบดี !
ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ฆราวาสชั้นเลิศ หน้า ๒๓
ธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้ธรรม ๔ ประการ
อันน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ หาได้ยากในโลก.
ฆราวาสชั้นเลิศ หน้า ๒๓
จตุกฺก. อํ. ๒๑/๖๕/๖๑.
---
คนมีตาดี สองข้าง
-------------------
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ?
คือ คนบางคนในโลกนี้มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์
ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง;
และมีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรม
ที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต
- ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.
-------------------
(บาลี) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๒/๔๖๘.
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๓๖
อภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
หน้าที่ ๑๒๙ ข้อที่ ๙๐
---
http://etipitaka.com/read/thai/36/129/…
---
คนมีตาดี สองข้าง
-------------------
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ?
คือ คนบางคนในโลกนี้มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์
ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง;
และมีตาที่เป็นเหตุให้รู้ธรรม
ที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต
- ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.
-------------------
(บาลี) ติก. อํ. ๒๐/๑๖๒/๔๖๘.
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๓๖
อภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์
หน้าที่ ๑๒๙ ข้อที่ ๙๐
---
http://etipitaka.com/read/thai/36/129/…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น