***กำเนิดโลกมนุษย์***
*******************
[๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว
โดยล่วง ระยะกาลยืดยาว ช้านานที่โลกนี้จะพินาศ
เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสร
มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง
สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช
_______
ดูกรวาเสฏฐะ และภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน
ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญ อยู่โดยมาก
เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้น
และ สัตว์นั้น ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร
มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง
สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืด
ก็แหละ สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้
มืดมนแลไม่เห็นอะไร
ดวงจันทร์และ ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ
ดวงดาวนักษัตร ทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ
กลางวันกลาง คืนก็ยังไม่ปรากฎ
เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยั
ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ
เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปร
สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่า สัตว์เท่า นั้น
_________
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน
เกิด ง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป
ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเ
ให้งวด แล้ว ตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู
ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด
ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอัน
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคน
ท่าน ผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร
แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้น
เมื่อเขาเอา นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้ม
ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยาก ขึ้น
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ
แม้สัตว์ พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่า
เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองล
เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากัน เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองล
ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว
สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอ
ต่อมาสัตว์ เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้น
_______
ดูกรเสฏฐะและ ภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื
ด้วยมือแล้วบริโภคอยู่ นั้น
เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่า
ดวงจันทร์และดวง อาทิตย์ก็ปรากฏ
เมื่อดวงจันทร์และ ดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว
ดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็ปรากฏ
เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏ แล้ว
กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อ
กลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว
เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปร
ฤดูและปีก็ปรากฏ
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วย เหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอี
_______
[๕๗] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมาสัตว์เหล่านั้นพา
รับประทานง้วนดิน
มีง้วนดินเป็นอาหาร
ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน ด้วยเหตุที่สัตว์เหล่า นั้น
มัวเพลินบริโภคง้วนดินอยู่
รับประทานง้วนดิน
มีง้วนดิน เป็นอาหาร
ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้า นาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกาย
ทั้ง ผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกั
สัตว์บางพวกมี ผิวพรรณไม่งาม
ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มี ผิวพรรณงามนั้นพากันดูหมิ่น
สัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งาม
พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวก
เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเก
เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป
ง้วนดินก็หายไป
เมื่อง้วนดินหายไป แล้ว
สัตว์เหล่านั้นจึงพากันจับก
ครั้นแล้ว ต่างก็บ่นถึงกันว่า รสดีจริง รส ดีจริง ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ ก็เหมือนกัน
คนเป็นอันมากได้ของที่มีรสด
รสอร่อยแท้ๆ
รสอร่อยแท้ๆ ดังนี้
พวกพราหมณ์ ระลึกได้ถึงอักขระ ที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณนั้นเท่านั้น
แต่ไม่รู้ชัดถึง เนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย
________
[๕๘] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา
เมื่อง้วนดินของสัตว์ เหล่านั้นหายไปแล้ว
ก็เกิดมีกระบิดินขึ้น
กระบิดินนั้นปรากฏลักษณะคล้
กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี
ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็ก
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น
สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโ
สัตว์เหล่านั้น บริโภคกระบิดินอยู่
รับประทานกระบิดิน มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลนาน
_____
ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยประการที่สัตว์เหล่านั้น
รับประทานกระบิดิน
มีกระบิดินเป็นอาหาร
ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน
สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกาย
ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่
สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์ บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม
ในสัตว์ทั้งสองจำพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม พากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผ
พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่
เมื่อสัตว์ทั้งสอง พวกนั้น เกิดมีการไว้ตัวดู
หมิ่นกันขึ้น
เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป
กระบิดินก็ หายไป
เมื่อกระบิ ดินหายไปแล้ว
________
ก็เกิดมีเครือดินขึ้น
เครือดินนั้นปรากฏคล้ายผลมะ
เครือดินนั้น ถึงพร้อมด้วยสี รส กลิ่น มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น
ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็ก
_________
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโ
เครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือด
รับประทานเครือดิน
มีเครือดินเป็น อาหาร
ดำรงมาได้สิ้นกาล ช้านาน
โดยประการที่สัตว์เหล่านั้น
รับประทานเครือดิน
มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร
ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกาย
ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตก ต่างกันไป
สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม
ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม
พากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรร
พวกเรามี ผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวก
เมื่อสัตว์ทั้งสอง พวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหม
เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป
เครือดิน ก็หายไป
เมื่อเครือดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่า นั้น
ก็พากันจับกลุ่ม
ครั้นแล้วต่างก็ บ่นถึงกันว่า เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราห
เครือดินของพวกเราได้สูญหาย
______
ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน
คนเป็นอันมาก
พอถูกความระทมทุกข์อย่างใดอ
ก็มักบ่นกันอย่างนี้ว่า
สิ่งของของเราทั้งหลาย
ได้เคยมีแล้วหนอ แต่เดี๋ยวนี้
สิ่งของของเราทั้งหลายได้มา
_______
พวก พราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที
แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความ แห่งอักขระนั้นเลย ฯ
________
[๕๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา
เมื่อเครือดินของสัตว์ เหล่านั้นหายไป แล้ว
__________
ก็เกิดมีข้าวสาลี
ขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ
เป็นข้าวไม่มีรำ
ไม่มี แกลบ
ขาวสะอาด
กลิ่นหอม
มีเมล็ดเป็นข้าวสาร
ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอา
ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่
ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าว
ตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่
ไม่ปรากฏว่าบก พร่อง ไปเลย
_______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น
พวกสัตว์บริโภคข้าวสาลี
ที่เกิด ขึ้นเอง ในที่ที่ไม่ต้องไถ
พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น
มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร
ดำรงมาได้สิ้นกาล ช้านาน
ก็โดยประการที่สัตว์เหล่านั
รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร
ดำรงมาได้สิ้นการช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกาย
ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่
_______
สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ
และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ
นัยว่า สตรีก็ เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ
และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เส
เมื่อคนทั้งสองเพศ ต่างก็เพ่ง ดูกันอยู่เสมอ
ก็เกิดความกำหนัดขึ้น
เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย
เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจั
เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมก
__________
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล
สัตว์พวกใดเห็นพวก อื่นเสพเมถุน ธรรมกันอยู่
ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง
โปรยเถ้าใส่บ้าง
โยนมูลโคใส่บ้าง
พร้อมกับพูดว่า คนชาติชั่ว จงฉิบหาย คนชาติชั่ว จงฉิบหาย ดังนี้
แล้วพูดต่อไปว่า
ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์
จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า
ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้ เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวัน
คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่ บ้าง
โปรยเถ้าใส่บ้าง
โยนมูลโคใส่บ้าง
ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพ
ไปสู่ตะแลงแกง
พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระ
แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อ
__________
[๖๐] ดูกรวาเสฏฐะและภารวาชะ ก็สมัยนั้น
การโปรยฝุ่น
ใส่กันเป็นต้น นั้นแล
สมมติกันว่าไม่เป็นธรรม มาในบัดนี้
สมมติกันว่าเป็นธรรมขึ้น ก็สมัยนั้น สัตว์พวกใด
เสพ เมถุนกัน
สัตว์พวกนั้นเข้าบ้านหรือนิ
__________
ดูกรวาเสฏฐะ และภารทวาชะ เมื่อใดแล สัตว์ทั้งหลายพา
กันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ
เมื่อนั้น จึงพยายาม สร้างเรือนกันขึ้น
เพื่อเป็นที่ กำบังอสัทธรรมนั้น
ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่ง เกิดความเกียจคร้านขึ้น จึงได้ มีความ เห็นอย่างนี้ว่า
ดูกรท่านผู้เจริญ เราช่างลำบากเสียนี่กระไร ที่ต้องไปเก็บข้าวสาลี
มา ทั้งใน เวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น
ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเ
สาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย
_______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อแต่นั้นมา สัตว์ผู้นั้นก็ไป
เก็บเอาข้าวสาลีมาไว้
เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้
_______
ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์
ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เรา จักไปเก็บข้าวสาลีกัน
สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลี
มาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็น
ต่อมา สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบ อย่างของสัตว์ ผู้นั้น
จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้ค
แล้วพูดว่า ได้ยินว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือน กันท่านผู้เจริญ
_________
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อ มาสัตว์อีกผู้หนึ่ง เข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น แล้วชวน ว่า
ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เรา จักไปเก็บข้าวสาลีกัน
สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลี
มาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็น
_______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่าง
จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้ค
_______
แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ ก็ดีเหมือนกัน ท่านผู้เจริญ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่งเข้าไ
ดูกรสัตว์ผู้ เจริญ มาเถิด เราจักไปเก็บข้าวสาลี กัน
สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ไปเก็บ ข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว
เพื่อสี่วันแล้ว ครั้งนั้นแล
สัตว์ผู้นั้น ถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้น
________
แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นพยาย
ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้า
ห่อเมล็ดบ้าง
มีแกลบหุ้มเมล็ด บ้าง
ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กล
งอกแทน
ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ (ตั้งแต่นั้นมา) จึงได้มีข้าวสาลีเป็นกลุ่มๆ
________
[๖๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพากันมาจับกล
แล้วต่างก็มาปรับทุกข์กันว่
ทั้งหลายอันเลวทรามปรากฏขึ้
ในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ด้วยว่า เมื่อก่อนพวกเราได้
เป็นผู้สำเร็จทางใจ
มีปีติเป็นอาหาร
มีรัศมี ซ่านออกจากกายตนเอง
สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม
สถิตอยู่ในวิมานนั้นสิ้นกาล
ครั้งบางคราวโดยระยะยืดยาวช
เกิดง้วนดินลอยขึ้นบนน้ำ ทั่วไปแก่เรา ทุกคน
ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส
พวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนด
ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภ
เมื่อพวกเราทุกคน พยายามปั้นง้วนดินกระ ทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภ
รัศมีกายก็หายไป เมื่อรัศมีกาย หายไปแล้ว
ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ก็ปรากฏขึ้น
เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปร
ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏข
เมื่อดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย
กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏขึ
เมื่อกลางคืนและกลางวัน ปรากฎขึ้นแล้ว
เดือน หนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏขึ
ฤดูและ ปีก็ปรากฏ
พวกเราทุกคนบริโภคง้วนดินอย
รับประทานง้วนดิน
มีง้วนดินเป็น อาหารดำรงชีพอยู่
ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็น
ขึ้นแก่พวกเรา ง้วนดินจึงหายไป
______
เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว จึงมีกระบิดินปรากฏขึ้น
ระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนบริโภคระบิดิน
เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคระบิ
รับประทานระบิดิน
มีระบิดินเป็นอาหาร
ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็น
ขึ้นแก่พวกเรา ระบิดินจึงหายไป
_______
เมื่อระบิดินหายไปแล้ว จึงมีเครือดินปรากฏขึ้น
เครือดิน นั้น ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามบริโภคเคร
เมื่อพวกเรา ทุกคนบริโภค เครือดินนั้นอยู่ รับประทานเครือดิน
มีเครือดินเป็นอาหาร
ดำรงอยู่ ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมี ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั
เครือดินจึงหายไป
_______
เมื่อเครือดินหายไปแล้ว จึงมีข้าวสาลีปรากฏ
ขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวที่ไม่มีรำ ไม่มี แกลบ
ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าว สาร
ตอนเย็นพวกเราทุกคนไปนำเอาข
ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่
ทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใด
ข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ด
เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคข้าว
ไม่ต้องไถอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร
ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมี ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั
__________
ขึ้นแก่ พวกเรา ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้า
มีแกลบห่อเมล็ดไว้บ้าง
แม้ต้นที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอ
ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ
จึงได้มี ข้าวสาลี เป็นกลุ่มๆ อย่ากระนั้นเลย
พวกเราควรมาแบ่งข้าวสาลีและ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์ทั้งหลายจึงแบ่งข้าวสา
________
[๖๒] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคน โลภ
สงวนส่วน ของตนไว้
ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่
สัตว์ทั้งหลายจึงช่วยกันจับ
ได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า
แน่ะสัตว์ ผู้เจริญ ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของ ตนไว้
ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่ เขาไม่ได้ให้มาบริโภค
ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้
________
ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแล
รับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว
สัตว์นั้นสงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่
สัตว์ เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว
แน่ะ สัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมอันชั่ว ช้านัก
ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเอาส่วน ที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค
ท่านอย่าได้กระทำกรรมอัน ชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย
สัตว์ พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือ
พวกหนึ่งประหารด้วยก้อนดินบ
พวก หนึ่งประหาร ด้วยท่อนไม้
_______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็นัยเพราะมีเหตุเช่นนั้นเป
การ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่
______
การติเตียนจึงปรากฏ
การกล่าวเท็จ จึงปรากฏ
การถือ ท่อนไม้จึงปรากฏ
_______
ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงป
ครั้นแล้ว ต่างก็ปรับทุกข์กันว่า พ่อเอ๋ย
- ก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าข
- การติเตียนจักปรากฏ
- การพูดเท็จจักปรากฏ
- การถือท่อนไม้จัก ปรากฏ
ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแ
อย่ากระนั้นเลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่
ว่ากล่าวได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควร
ให้เป็นผู้ขับไล่ ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวก
เราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แ
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้น
พากันเข้าไปหาสัตว์ที่ สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่า น่าเลื่อมใสกว่า
และน่าเกรงขามมากกว่า สัตว์ทุกคน แล้ว จึงแจ้งเรื่องนี้ว่า
ข้าแต่สัตว์ผู้เจริญ มาเถิดพ่อ ขอพ่อจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่
ได้โดยชอบ จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนไ
จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้
พวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าว
_______
ดูกรวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแลรับคำของ สัตว์เหล่านั้นแล้ว
จึงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่
ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โด
ส่วนสัตว์เหล่านั้นก็แบ่งส่
_______
[๖๓] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า
อักขระว่า มหาชนสมมติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก
________
เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้า
อักขระว่า กษัตริย์ กษัตริย์ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่
_______
เพราะ เหตุที่ผู้เป็นหัวหน้ายังชน
อักขระว่า ราชา ราชา จึงอุบัติ ขึ้นเป็น อันดับที่สาม
_______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังนี้แล
การบังเกิดขึ้น แห่งพวก กษัตริย์นั้น
มีขึ้นได้ เพราะอักขระที่รู้กันว่าเป็
เรื่องของสัตว์ เหล่านั้น จะต่างกันหรือเหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือ
ไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรมเท่านั้น ไม่ใช่นอกไปจากธรรม
_____
ดูกรวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ ความจริง ธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริ
ในประชุมชนทั้งในเวลา ที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ฯ
_____
[๖๔] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์บางจำพวกได้มี
ความคิดขึ้น อย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย
การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของ
การ ติเตียนจักปรากฏ
การกล่าว เท็จจักปรากฏ
การถือท่อนไม้จักปรากฏ
การขับไล่ จักปรากฏ
ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรม เหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสั
อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรไปลอยอกุศลธรรมที่
_______
สัตว์ เหล่านั้นพากันลอยอกุศลธรรม
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะ เหตุที่สัตว์เหล่านั้นพากัน
อักขระว่า พวก พราหมณ์ๆ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก
พราหมณ์เหล่านั้นพากันสร้าง
เพ่งอยู่ในกระท่อมซึ่งมุงแล
ไม่มีการหุงต้ม
และไม่มีการตำข้าว เวลาเย็น เวลาเช้า
ก็พากันเที่ยวแสวงหา อาหารตามคามนิคมและราชธานี
เพื่อบริโภคในเวลาเย็น เวลาเช้า เขาเหล่านั้น ครั้นได้อาหารแล้ว
จึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกร
คนทั้งหลายเห็นพฤติการณ์ของ
พ่อเอ๋ย สัตว์พวกนี้แลพากันมาสร้างก
แล้วเพ่งอยู่ใน กระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบ
ไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำข้าว เวลาเย็นเวลาเช้า ก็พากันเที่ยว
แสวงหาอาหารตามคามนิคมและรา
เขาเหล่านั้นครั้นได้ อาหารแล้วจึงพากันกลับไปเพ่
ในกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วย
_____
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุนั้นแล อักขระว่า พวกเจริญฌาน
พวกเจริญ ฌาน ดังนี้
จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่
สัตว์บางพวกเมื่อไม่อาจสำเร
ที่กระท่อมซึ่งมุงและบังด้ว
จึงเที่ยวไปยังคามและนิคมที
ก็จัดทำพระคัมภีร์มาอยู่ คนทั้งหลายเห็น
พฤติการณ์ของพวกพราหมณ์นี้น
ไม่อาจสำเร็จฌานได้ที่กระท่
และนิคมที่ใกล้เคียง จัดทำพระคัมภีร์ไปอยู่
______
ดูกรวาเสฏฐะและภาร ทวาชะ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่ง
พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ ดังนี้แล อักขระว่า
อชฺฌายิกา อชฺฌายิกา จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับที่
______
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็สมัยนั้น การทรงจำ การสอน การบอกมนต์
ถูกสมมติว่าเลว มาในบัดนี้
สมมติว่าประเสริฐ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล
--
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
หน้าที่ ๖๕ ข้อที่ ๕๕ - ๕๖
http://etipitaka.com/read/
https://www.youtube.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น