วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความทุกข์ในนรก



#‎เทวทูตทั้ง‬ ๕

..เกิด..แก่..เจ็บ..ถูกลงกรรมกรณ์..ตาย..ปรากฏให้เห็นบนโลก

‪#‎ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ‬ เห็น เทวทูตทั้ง ๔

..เกิด..แก่..เจ็บ..ตาย..ปรากฎบนโลก

ถึงกับ..ออกบวช..แสวงหาความไม่ตาย...

https://www.youtube.com/watch?v=D87E9b511oE

--

#เทวทูตทั้ง ๕

‪#‎กับความทุกข์ในนรก‬

ภิกษุทั้งหลาย !

เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง

มีประตูตรงกัน

บุรุษผู้มีตาดี

ยืนอยู่ระหว่างกลางเรือน ๒ หลังนั้น

พึงเห็นมนุษย์

กําลังเข้าเรือนบ้าง

กําลังออกจากเรือนบ้าง

กําลังเดินมาบ้าง

กําลังเดินไปบ้าง ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย !

ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

เราย่อมมองเห็นหมู่สัตว์

กําลังจุติ กําลังอุบัติ

เลว ประณีต

มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม

ได้ดี ตกยาก

ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์

ล่วงจักษุของมนุษย์



ย่อมทราบชัด

ซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมได้ว่า

สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย

กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต

ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ

เชื่อมั่นกรรมด้วยอํานาจสัมมาทิฏฐิ

เมื่อตายไปแล้ว

เข้าถึงสุคติโลกสวรรคก็มี



สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย

กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต

ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ

เชื่อมั่นกรรมด้วยอํานาจสัมมาทิฏฐิ

เมื่อตายไปแล้ว

บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี



สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย

กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เชื่อมั่นกรรมด้วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ

เมื่อตายไปแล้ว

เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี



สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย

กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เชื่อมั่นกรรมด้วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ

เมื่อตายไปแล้ว

เข้าถึงกําเนิดเดรัจฉานก็มี



สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วย

กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต

ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ

เชื่อมั่นกรรมด้วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ

เมื่อตายไปแล้ว

เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านายนิรยบาล

จะจับสัตว์นั้นที่ส่วนต่าง ๆ ของแขน

ไปแสดงแก่พระยายมว่า

ข้าแต่พระองค์ !

บุรุษนี้ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา

ไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ

ไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์

ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล

ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่บุรุษนี้เถิด

ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมจะปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๑ กะสัตว์นั้นว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๑

ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเด็กแดง ๆ ยังอ่อน

นอนหงายเปื้อนมูตรคูถของตน

อยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

เห็น เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่

แล้วได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า

แม้ตัวเราแล

ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้

ควรที่เราจะทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า !

มัวประมาทเสีย เจ้าข้า !

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้ทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้

เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น

เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ

โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว

ก็บาปกรรมนี้นั่นแล

ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน

ไม่ใช่มิตรอมาตย์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน

ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้

ท่านเท่านั้น

จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้



ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๑ กะสัตว์นั้นแล้ว

จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๒ ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๒

ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย

มีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี

นับแต่เกิดมาเป็นผู้ชรา

ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้เท้างกเงิ่น

เดินไปกระสับกระส่าย

ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหัก ผมหงอก

หนังเหี่ยวย่น ศีรษะล้าน ผิวตกกระ

ในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

เห็น เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่

แล้วได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า

แม้ตัวเราแล

ก็มีความแก่เป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้

ควรที่เราจะทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า !

มัวประมาทเสีย เจ้าข้า !

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้ทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้

เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น

เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ

โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว

ก็บาปกรรมนี้นั่นแล

ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน

ไม่ใช่มิตรอมาตย์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน

ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้

ท่านเท่านั้น

จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้



ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๒ กะสัตว์นั้นแล้ว

จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๓ ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๓

ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชายผู้ป่วยทนทุกข์

เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนมูตรคูถของตน

มีคนอื่นคอยพยุงลุก พยุงเดิน

ในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

เห็น เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่

แล้วได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า

แม้ตัวเราแล

ก็มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้

ควรที่เราจะทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า !

มัวประมาทเสีย เจ้าข้า !

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้ทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้

เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น

เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ

โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว

ก็บาปกรรมนี้นั่นแล

ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน

ไม่ใช่มิตรอมาตย์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน

ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้

ท่านเท่านั้น

จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้



ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๓ กะสัตว์นั้นแล้ว

จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๔

ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นพระราชาทั้งหลาย

ในหมู่มนุษย์ จับโจรผู้ประพฤติผิดมา

แล้วสั่งลงกรรมกรณ์ต่างชนิดบ้างหรือ

คือ

โบยด้วยแส้บ้าง

โบยด้วยหวายบ้าง

ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง

ตัดมือบ้าง

ตัดเท้าบ้าง

ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง

ตัดหูบ้าง

ตัดจมูกบ้าง

ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

หม้อเคี่ยวน้ำส้ม บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

ขอดสังข์ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

ปากราหู บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

มาลัยไฟ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

คบมือ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

ริ้วส่าย บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

นุ่งเปลือกไม้ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

ยืนกวาง บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

เกี่ยวเหยื่อเบ็ด บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

เหรียญกษาปณ์ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

แปรงแสบ บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

กางเวียน บ้าง

ลงกรรมกรณ์วิธี

ตั่งฟาง บ้าง

ราดด้วยน้ำมันเดือด ๆ บ้าง

ให้สุนัขทึ้ง บ้าง

ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง

ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

เห็น เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่

แล้วได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า

สัตว์ที่ทำกรรมอันเป็นบาปไว้นั้น

ย่อมถูกลงกรรมกรณ์ต่างชนิด

เห็นปานนี้ในปัจจุบัน

จะป่วยกล่าวไปไยถึงชาติหน้า

ควรที่เราจะทำความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สัตวนั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า !

มัวประมาทเสีย เจ้าข้า !

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้ทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้

เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น

เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ

โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว

ก็บาปกรรมนี้นั่นแล

ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน

ไม่ใช่มิตรอมาตย์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน

ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้

ท่านเท่านั้น

จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้



ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๔ กะสัตว์นั้นแล้ว

จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๕ ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ ๕

ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชายที่ตายแล้ว

วันหนึ่งหรือสองวัน หรือสามวัน

ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้ม

ในหมู่มนุษย์หรือ ?

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

เห็น เจ้าข้า !

พระยายมถามอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่

แล้วได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า

แม้ตัวเราแล

ก็มีความตายเป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้

ควรที่เราจะทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า !

มัวประมาทเสีย เจ้าข้า !

พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

ท่านไม่ได้ทําความดี

ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้

เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น

เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษ

โดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว

ก็บาปกรรมนี้นั่นแล

ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน

ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน

ไม่ใช่มิตรอมาตย์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน

ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน

ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน

ตัวท่านเองทำเข้าไว้

ท่านเท่านั้น

จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้



ภิกษุทั้งหลาย !

พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอกเอาใจ

ไต่ถามถึงเทวทูตที่ ๕ กะสัตวนั้นแล้ว

ก็ทรงนิ่งอยู่

ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านายนิรยบาลจะให้สัตว์นั้น

กระทําเหตุชื่อการจํา ๕ ประการ คือ

ตรึงตะปูเหล็กแดง

ที่มือข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒

ที่เท้าข้างที่ ๑ ข้างที่ ๒

และที่ทรวงอกตรงกลาง

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้น

ขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้น

เอาเท้าขึ้นข้างบน

เอาหัวลงข้างล่างแล้วถากด้วยพร้า

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาลจะเอาสัตว์นั้น

เทียมรถแล้วให้วิ่งกลับไปกลับมา

บนแผ่นดินที่มีไฟติดทั่ว

ลุกโพลง โชติช่วง

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้น

ปีนขึ้นปีนลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่

ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาลจะจับสัตว์นั้น

เอาเท้าขึ้นข้างบน

เอาหัวลงข้างล่าง

แล้วพุ่งลงไปในหม้อทองแดง

ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง

สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็นฟอง

อยู่ในหม้อทองแดงนั้น

เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่

จะพล่านขึ้นข้างบน ครั้งหนึ่งบ้าง

พล่านลงข้างล่าง ครั้งหนึ่งบ้าง

พล่านไปด้านขวาง ครั้งหนึ่งบ้าง

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในหม้อทองแดงนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านิรยบาล

จะโยนสัตวนั้นเข้าไปในมหานรก

ก็มหานรกนั้นแล

มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน

มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ

ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก

พื้นของมหานรก

ล้วนเต็มไปด้วยเหล็กลุกโพลง

แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้าน

ตั้งอยู่ทุกเมื่อ

ภิกษุทั้งหลาย !

และมหานรกนั้นมีเปลวไฟ

พลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง

พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า

พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้

พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ

พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน

พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง

สัตวนั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว

โดยล่วงระยะกาลนาน

ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด

ประตูด้านหลังของมหานรกเปิด

ประตูด้านเหนือเปิด ประตูด้านใต้เปิด

สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว

และย่อมถูกไฟไหม้ผิว

ไหม้หนัง ไหมเนื้อ ไหม้เอ็น

แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ

แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว

จะกลับคืนรูปเดิมทันที

และในขณะที่สัตว์นั้น

ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด

สัตว์นั่นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว

โดยล่วงระยะกาลนาน

ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด

สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว

และย่อมถูกไฟไหม้ผิว

ไหม้หนัง ไหมเนื้อ ไหม้เอ็น

แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ

แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว

จะกลับคืนรูปเดิมทันที

สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้

แต่ว่ามหานรก นั้นแล

มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่

ประกอบอยู่รอบด้าน

สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น

และในนรกคูถ นั้นแล

มีหมู่สัตว์ปากดังเข็ม

คอยเฉือดเฉือนผิว

แล้วเฉือดเฉือนหนัง

แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ

แล้วเฉือดเฉือนเอ็น

แล้วเฉือดเฉือนกระดูก

แล้วกินเยื่อในกระดูก

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

และนรกคูถนั้น

มีนรกเต็มด้วย เถ้ารึงใหญ่

ประกอบอยู่รอบด้าน

สัตว์นั้น

จะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

และนรกเถ้ารึงนั้น

มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน

ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง

มีหนามยาว ๑๖ องคุลี

มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง

เหล่านายนิรยบาล

จะบังคับให้สัตว์นั้น

ขึ้น ๆ ลง ๆ ที่ต้นงิ้วนั้น

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ที่ต้นงิ้วนั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

และป่างิ้วนั้น

มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่

ประกอบอยู่รอบด้าน

สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น

จะถูกใบไม้ที่ลมพัด

ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง

ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง

ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง

ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ที่ป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

และป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น

มีแม่น้ำใหญ่ น้ำเป็นด่าง

ประกอบอยู่รอบด้าน

สัตว์นั้น

จะตกลงไปในแม่น้ำนั้น

จะลอยอยู่ในแม่นั้น

ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง

ทั้งตามและทวนกระแสบ้าง

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ในแม่น้ำนั้น

และยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านายนิรยบาล

พากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้น

ขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

เจ้าต้องการอะไร

สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า !

เหล่านายนิรยบาล

จึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว

ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก

แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว

ลุกโพลง โชติช่วง เข้าในปาก

ก้อนโลหะนั้น

จะไหม้ริมฝีปากบ้าง ไหม้ปากบ้าง

ไหม้คอบ้าง ไหม้ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น

และพาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยมาก

ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง

สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด



ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านายนิรยบาล

กล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า

พ่อมหาจำเริญ !

เจ้าต้องการอะไร

สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า !

เหล่านายนิรยบาล

จึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว

ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก

แล้วเอานํ้าทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว

ลุกโพลง โชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก

น้ำทองแดงนั้น

จะไหม้ริมฝีปากบ้าง ไหม้คอบ้าง

ไหม้ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น

และพาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง

ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง

สัตวนั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า

เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้นและยังไม่ตาย

ตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด

ภิกษุทั้งหลาย !

เหล่านายนิรยบาล

จะโยนสัตวนั้นเข้าไปในมหานรกอีก



ภิกษุทั้งหลาย !

เรื่องเคยมีมาแล้ว

พระยายมได้มีความดําริอย่างนี้ว่า

พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย !

เป็นอันว่าเหล่าสัตว์

ทำกรรมอันเป็นบาปไว้ในโลก

ย่อมถูกนายนิรยบาล

ลงกรรมกรณ์ต่างชนิด

เห็นปานนี้

โอหนอ !

ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์

ขอตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ

พึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ขอเราพึงได้นั่งใกล้

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น

พึงทรงแสดงธรรมแก่เรา

และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรม

ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด



ภิกษุทั้งหลาย !

ก็เรื่องนั้น

เรามิได้ฟังต่อสมณะ

หรือพราหมณอื่น ๆ แล้วจึงบอก

เราบอกเรื่องที่รู้เอง เห็นเอง

ปรากฏเองทั้งนั้น



นรชนเหล่าใดยังเป็นมาณพ

อันเทวทูตตักเตือนแล้วประมาทอยู่

นรชนเหล่านั้น

จะเข้าถึงหมู่สัตว์อันเลว

ถึงความเศร้าโศกสิ้นกาลนาน



ส่วนนรชนเหล่าใด

เป็นสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลกนี้

อันเทวทูตตักเตือนแล้วย่อมไม่ประมาท

ในธรรมของพระอริยะ ในกาลไหน ๆ

เห็นภัยในความถือมั่น

อันเป็นเหตุแห่งชาติและมรณะ

แล้วไม่ถือมั่น

หลุดพ้นในธรรม

เป็นที่สิ้นชาติและมรณะได้

นรชนเหล่านั้น

เป็นผู้ถึงความเกษม

มีสุข ดับสนิท ในปัจจุบัน

ล่วงเวรและภัยทั้งปวง

และเขาไปล่วงทุกข์ทั้งปวงได้

ภพภูมิ – ความทุกข์ในนรก

( หน้า ๗๓ – ๘๘ )


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น