วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พระอาจารย์คึกฤทธิ์-สนทนาธรรมเช้าวันอาทิตย์_หลังฉัน_2015-05-24



พระอาจารย์โยงสองพระสูตร(คลิปนี้มี.ทิพรส..ดูความเร็วของจิต มโน วิญญาณ .. พระอาจารย์แจกแจงได้แจ่มแจ้งนัก)

-สัตว์คบค้ากันโดยธาตุ

-ถ้อยคำดี ถ้อยคำชั่ว

((กลุ่มของคน กลุ่มของธาตุ ที่จะคบค้า สมาคมกัน))

ประมาณนาทีที่ <<16.00>>  https://www.youtube.com/watch…

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว

-

คือสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา

-

สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ

ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ

-

สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ

-

สัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย

-

สัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน

-

สัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม

-

สัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม

-

แม้ในอดีตกาล ...

แม้ในอนาคตกาล ...

แม้ในปัจจุบันกาล

สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน

ย่อมสมาคมกันโดยธาตุเทียว คือ

-

สัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีศรัทธา

-

สัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับสัตว์จำพวกที่ไม่มีหิริ

-

สัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ไม่มีโอตตัปปะ

-

สัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสุตะน้อย

-

สัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่เกียจคร้าน

-

สัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสติหลงลืม

-

สัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีปัญญาทราม ฯ

-

[๓๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน

ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือ

-

สัตว์จำพวกที่มีศรัทธา

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีศรัธทา

-

สัตว์จำพวกที่มีหิริ

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีหิริ

-

สัตว์จำพวกที่มีโอตตัปปะ

ย่อมคบค้ากันย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีโอตตัปปะ

-

สัตว์จำพวกที่มีสุตะมาก

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสุตะมาก

-

สัตว์จำพวกที่ปรารภความเพียร

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่ปรารภความเพียร

-

สัตว์จำพวกที่มีสติมั่นคง

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีสติมั่นคง

-

สัตว์จำพวกที่มีปัญญา

ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน กับสัตว์จำพวกที่มีปัญญา

-

แม้ในอดีตกาล ...

แม้ในอนาคตกาล ...

แม้ในปัจจุบันกาล

สัตว์ทั้งหลายก็ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว

-

จบ สูตรที่ ๗

-

พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖

สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

หน้าที่ ๑๕๕ ข้อที่ ๓๗๓

--

http://etipitaka.com/read/thai/16/151/…

--

(((ถ้อยคำชั่ว)))

๗. ทุกถาสูตร

● [๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวกย่อมเป็นถ้อยคำชั่ว

เมื่อเทียบบุคคลกับบุคคล บุคคล ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ

๑.• ถ้อยคำปรารภศรัทธาเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ไม่มีศรัทธา ๑

๒.• ถ้อยคำปรารภศีลเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทุศีล ๑

๓• ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ได้สดับน้อย ๑

๔.• ถ้อยคำปรารภจาคะเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ตระหนี่ ๑

๕.• ถ้อยคำปรารภปัญญาเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทรามปัญญา ๑ ฯ

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ไม่มีศรัทธา

เพราะผู้ไม่มีศรัทธา เมื่อพูดเรื่องศรัทธา

ย่อมขัดข้อง โกรธพยาบาท กระด้าง

แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

-

เพราะผู้ไม่มีศรัทธานั้น ย่อมไม่เห็นศรัทธาสัมปทาในตน

และย่อมไม่ได้ปีติปราโมทย์ที่มีศรัทธาสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ไม่มีศรัทธา

-

๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทุศีล

เพราะผู้ทุศีล เมื่อพูดเรื่องศีลย่อมขัดข้อง โกรธ พยาบาท

กระด้าง แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

-

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้ทุศีลนั้นย่อมไม่เห็นศีลสัมปทาในตน

และย่อมไม่ได้ปีติและปราโมทย์ที่มีศีลสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทุศีล

-

๓. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภ พาหุสัจจะ (บาลี : พาหุสจฺจกถา )

จึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ได้สดับน้อยเพราะผู้ได้สดับน้อย

เมื่อพูดเรื่องพาหุสัจจะ

ย่อมขัดข้อง โกรธ พยาบาทกระด้าง

แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

-

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้ได้สดับน้อยนั้น

ย่อมไม่เห็นสุตสัมปทาในตน

และย่อมไม่ได้ปีติปราโมทย์ที่มีสุตสัมปทาเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ได้สดับน้อย

-

๔. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภจาคะจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ตระหนี่

เพราะผู้ตระหนี่ เมื่อพูดเรื่องจาคะ

ย่อมขัดข้อง โกรธ พยาบาท กระด้าง

แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

-

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้ตระหนี่นั้นย่อมไม่เห็นจาคสัมปทาในตน

และย่อมไม่ได้ปีติปราโมทย์ที่มีจาคสัมปทานั้นเป็นเหตุฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภจาคะ จึงเป็นถ้อยคำชั่วของผู้ตระหนี่

-

๕. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภปัญญาจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทรามปัญญา

เพราะผู้ทรามปัญญา เมื่อพูดเรื่องปัญญา

ย่อมขัดข้อง โกรธ พยาบาท กระด้าง

แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้น เพราะเหตุไร

-

เพราะผู้ทรามปัญญานั้นย่อมไม่เห็นปัญญาสัมปทาในตน

และย่อมไม่ได้ปีติปราโมทย์ที่มีปัญญาสัมปทานั้นเป็นเหตุ

-

ฉะนั้นถ้อยคำปรารภปัญญาจึงเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทรามปัญญา

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวกนี้แล

ย่อมเป็นถ้อยคำชั่ว

เมื่อเทียบบุคคลกับบุคคล ฯ

(((ถ้อยคำดี)))

●● ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวก ย่อมเป็นถ้อยคำดี

เมื่อเทียบบุคคลกับบุคคล บุคคล ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ

๑• ถ้อยคำปรารภศรัทธาเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศรัทธา ๑

๒• ถ้อยคำปรารภศีลเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศีล ๑

๓• ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้ได้สดับมาก ๑

๔• ถ้อยคำปรารภจาคะเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีจาคะ ๑

๕• ถ้อยคำปรารภปัญญาเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีปัญญา ๑ ฯ

๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศรัทธา

เพราะผู้มีศรัทธา เมื่อพูดเรื่องศรัทธา

ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง

ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้มีศรัทธานั้นย่อมเห็นศรัทธาสัมปทาในตน

และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีศรัทธาสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภศรัทธาจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศรัทธา

-

๒. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศีล

เพราะผู้มีศีลเมื่อพูดเรื่องศีล

ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง

ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้มีศีลนั้นย่อมเห็นศีลสัมปทาในตน

และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีศีลสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภศีลจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีศีล

-

๓. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้ได้สดับมาก

เพราะผู้ได้สดับมาก เมื่อพูดเรื่องพาหุสัจจะ

ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง

ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้ได้สดับมากย่อมเห็นสุตสัมปทาในตน

และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีสุตสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้ได้สดับมาก

-

๔. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภจาคะจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีจาคะ

เพราะผู้มีจาคะ เมื่อพูดเรื่องจาคะ

ย่อมไม่ขัดข้อง ไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง

ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะผู้มีจาคะ นั้นย่อมเห็นจาคะสัมปทาในตน

และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีจาคสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภจาคะ จึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีจาคะ

-

๕. เพราะเหตุไร

ถ้อยคำปรารภปัญญาจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีปัญญา

เพราะผู้มีปัญญา เมื่อพูดเรื่องปัญญา

ย่อมไม่ขัดข้องไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่กระด้าง

ไม่แสดงความโกรธเคืองและความขัดใจให้ปรากฏ

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้มีปัญญานั้น

ย่อมเห็นปัญญาสัมปทาในตน

และย่อมได้ปีติปราโมทย์ที่มีปัญญาสัมปทานั้นเป็นเหตุ

ฉะนั้น

-

ถ้อยคำปรารภปัญญาจึงเป็นถ้อยคำดีแก่ผู้มีปัญญา

-

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวกนี้แล

ย่อมเป็นถ้อยคำดี เมื่อเทียบบุคคลกับบุคคล ฯ

จบสูตรที่ ๗

-

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

หน้าที่ ๑๖๓/๔๐๗ ข้อที่ ๑๕๗

-

http://etipitaka.com/read/thai/22/163/…

-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น