***เหตุที่ทำให้ได้ทรงพระนามว่า _ตถาคต_***
*******************************************
ภิกษุ ท.! โลก เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงเป็นผู้ถอนตนจากโลกได้แล้ว.
เหตุให้เกิดโลก
เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อม เฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงละเหตุให้เกิดโลกได้แล้ว.
ความดับไม่เหลือของโลกเป็น สภาพที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้แจ้งความดับไม่เหลือของโลก ได้แล้ว.
ทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลกเป็นสิ่งที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้เกิดมีขึ้นได้แล้ว
ซึ่งทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลกนั้น.
_______
๑. ภิกษุ ท. ! อายตนะอันใด ที่พวกมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม,
ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ได้เห็นได้ ฟัง ได้ดม-ลิ้ม-สัมผัส ได้รู้แจ้ง
ได้บรรลุ ได้แสวงหาได้เที่ยวผูกพันติด ตามโดยน้ำใจ,
อายตนะนั้น ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้วทั้งสิ้น
เพราะเหตุนั้นจึงได้ นามว่า
_“ตถาคต”.__
________
๒. ภิกษุ ท.! ในราตรีใด ตถาคตได้ตรัสรู้
และในราตรีใด ตถาคต ปรินิพพาน,
ในระหว่างนั้นตถาคตได้กล่าวสอน
พร่ำสอน แสดงออกซึ่งคำใด,
คำนั้นทั้งหมด
ย่อมมีโดยประการเดียวกันทั้งสิ้น
ไม่แปลกกัน โดยประการอื่น เพราะเหตุนั้น
จึงได้นามว่า
_“ตถาคต"_
___________
๓. ภิกษุ ท. ! ตถาคต กล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด
กล่าวอย่างนั้น, เพราะเหตุอย่างนั้น จึงได้นามว่า
_“ตถาคต”__
___________
๔. ภิกษุ ท. ! ในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม, ในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ตถาคตเป็นผู้เป็นยิ่ง ไม่มี ใครครอบงำ
เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยเด็ดขาด
เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด (โดยธรรม) แต่ผู้เดียว,
เพราะเหตุนั้น จึงได้นามว่า
_“ตถาคต"_
******************************
๒. บาลี. อิติว. ข. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓ (อ้างอิงพระสูตรที่ 3 จากแผ่นพับ 10 พระสูตร), และ จตุกฺก. อ. ๒๑/๓๐/๒๓. ตรสแก่ภิกษุทั้ง หลาย.
*******************************************
ภิกษุ ท.! โลก เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงเป็นผู้ถอนตนจากโลกได้แล้ว.
เหตุให้เกิดโลก
เป็นสภาพที่ตถาคตได้รู้พร้อม เฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงละเหตุให้เกิดโลกได้แล้ว.
ความดับไม่เหลือของโลกเป็น สภาพที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้แจ้งความดับไม่เหลือของโลก ได้แล้ว.
ทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลกเป็นสิ่งที่ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ตถาคตจึงทำให้เกิดมีขึ้นได้แล้ว
ซึ่งทางให้ถึงความดับไม่เหลือของโลกนั้น.
_______
๑. ภิกษุ ท. ! อายตนะอันใด ที่พวกมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม,
ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ได้เห็นได้ ฟัง ได้ดม-ลิ้ม-สัมผัส ได้รู้แจ้ง
ได้บรรลุ ได้แสวงหาได้เที่ยวผูกพันติด ตามโดยน้ำใจ,
อายตนะนั้น ตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะแล้วทั้งสิ้น
เพราะเหตุนั้นจึงได้ นามว่า
_“ตถาคต”.__
________
๒. ภิกษุ ท.! ในราตรีใด ตถาคตได้ตรัสรู้
และในราตรีใด ตถาคต ปรินิพพาน,
ในระหว่างนั้นตถาคตได้กล่าวสอน
พร่ำสอน แสดงออกซึ่งคำใด,
คำนั้นทั้งหมด
ย่อมมีโดยประการเดียวกันทั้งสิ้น
ไม่แปลกกัน โดยประการอื่น เพราะเหตุนั้น
จึงได้นามว่า
_“ตถาคต"_
___________
๓. ภิกษุ ท. ! ตถาคต กล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ทำอย่างใด
กล่าวอย่างนั้น, เพราะเหตุอย่างนั้น จึงได้นามว่า
_“ตถาคต”__
___________
๔. ภิกษุ ท. ! ในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มาร, พรหม, ในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ตถาคตเป็นผู้เป็นยิ่ง ไม่มี ใครครอบงำ
เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยเด็ดขาด
เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด (โดยธรรม) แต่ผู้เดียว,
เพราะเหตุนั้น จึงได้นามว่า
_“ตถาคต"_
******************************
๒. บาลี. อิติว. ข. ๒๕/๓๒๑/๒๙๓ (อ้างอิงพระสูตรที่ 3 จากแผ่นพับ 10 พระสูตร), และ จตุกฺก. อ. ๒๑/๓๐/๒๓. ตรสแก่ภิกษุทั้ง หลาย.
*******************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติมได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka
ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น