**************************
อินทริยภาวนาสูตร (๑๕๒)
**************************
[๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที
อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยั
[๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดั
สิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอิ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงกา
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหล
อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้ว
ตามคำของปาราสิริยพราหมณ์
ต้องเป็นคนตาบอด
ต้องเป็นคนหูหนวก
เพราะคนตาบอด ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ
คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วย
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้
อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์
นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
[๘๕๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า
อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพรา
นิ่ง คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ
จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว
ดูกรอานนท์ปาราสิริยพราหมณ์
แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง ส่วนการเจริญอินทรีย์
อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าใน
ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุค
เป็นการสมควรแล้ว ที่พระผู้มีพระภาค
จะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อ
ในวินัยของพระอริยะ ภิกษุทั้งหลายฟังต่อ
พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
ท่านพระอานนท์ ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๘๕๖] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดั
ดูกรอานนท์ ก็การเจริญอินทรีย์อันไม่มี
ยิ่งกว่าในวินัยของพระอริยะ
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบอาศัยกันเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคือ อุเบกขา
เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย
อุเบกขา จึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับ
ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้
โดยไม่ลำบากเหมือนอย่างบุรุ
กระพริบตา ฉะนั้น
อุเบกขาย่อมดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในรูปที่รู
อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า
[๘๕๗] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ ขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ
หยาบ อาศัยการเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคืออุเบกขา
เธอจึงดับ
ความชอบใจความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับ
ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลัง ดีดนิ้วมือโดยไม่ลำบาก ฉะนั้น
ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในเสียงที่
อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า
[๘๕๘] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ
เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจความไม่ชอบ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งที่ละเอียดประณีต นั่นคืออุเบกขา
เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความช
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจอั
แล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทัน
เหมือนอย่างหยาดน้ำกลิ้งไปบ
ย่อมไม่ติดในที่ที่กลิ้งไปส
ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในกลิ่นที่
ด้วยฆานะ อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า
[๘๕๙] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา เธอรู้ชัดอย่าง นี้ว่า
เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคืออุเบกขา
เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย
อุเบกขาจึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความช
ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้
เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังตล่
แล้วถ่มไปโดยไม่ลำบาก ฉะนั้น
ดูกรอานนท์นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์
ในรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า
[๘๖๐] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกา
เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับ
ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขา
จึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความช
และไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้
เหมือน อย่างบุรุษมีกำลังเหยียดแขน
หรือคู้แขนที่เหยียดโดยไม่ล
ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในโผฏฐัพพะ
[๘๖๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน
เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ เกิดความไม่ชอบใจ
เกิดทั้งความชอบใจและไม่ ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแลเป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น
ยังมีสิ่งละเอียด ประณีต นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับ
ความชอบใจ ความไม่ชอบใจทั้งความชอบใจแ
อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขา
จึงดำรงมั่น
ดูกรอานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความช
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วได้เร็วพลัน
โดยไม่ลำบากอย่างนี้
เหมือนบุรุษมีกำลังหยดหยาดน
ลงในกะทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอ
ความหยดลงแห่งหยาดน้ำยังช้า
หยาดน้ำนั้นจะถึงความสิ้นไป
แห้งไปเร็ว ทีเดียว ฉะนั้น
ดูกรอานนท์ นี้เราเรียกว่า การเจริญอินทรีย์ในธรรมารมณ
ด้วยมโนอย่างไม่มีวิธีอื่นย
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แลเป็นการเจริญอินท
อย่างไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า
[๘๖๒] ดูกรอานนท์ ก็พระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ
เธอย่อมอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชังความชอบ ใจ
ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจ และไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกา
เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ...
เธอย่อมอึดอัด เบื่อหน่าย
เกลียดชังความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระเสขะผู้ยังปฏิบัต
[๘๖๓] ดูกรอานนท์ ก็พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ
เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ
เธอถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญ
ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญใน
ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในส
เป็นของปฏิกูลอยู่ ก็ ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ
ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้ ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในส
และไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ป
ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ไม่ปฏิกูลและปฏิกูลว่าเป็นข
ว่า เป็นของปฏิกูลอยู่ได้ ถ้าหวังว่าจะวางเฉยเว้นเสีย
สิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้ง
ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งน
[๘๖๔] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ
เพราะได้ยินเสียงด้วยโสต ...
เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกา
เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน เธอ
ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในส
ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญใน
ว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของป
สำคัญในสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในส
และไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ป
ก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญใน
ถ้าหวังว่าจะมีความสำคัญในส
ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ ก็ย่อมมีความสำคัญในสิ่งนั้
ว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้ถ้า
ซึ่งสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูล
อยู่อย่างมีสติ สัมปชัญญะ ก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งน
อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระอริยะผู้เจริญอิน
[๘๖๕] ดูกรอานนท์ เราแสดงการเจริญอินทรีย์อย่
พระอริยะ แสดงพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอย
ดูกรอานนท์ กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโ
อนุเคราะห์พึงทำแก่สาวกทั้ง
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภา
จบ อินทรียภาวนาสูตร ที่ ๑๐
จบ สฬายตนวรรค ที่ ๕
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๔๐๘/๔๑๓ ข้อที่ ๘๕๓-๘๕๕
**************************
อ่านพุทธวจนได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/
**************************
ฟังพุทธวจนบรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น