วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สงสารวัฏที่เราท่องเที่ยวมาแล้วเพราะไม่รู้อริยสัจทั้งสี่


***ว่าด้วยสงสารวัฏที่เราท่องเที่ยวมาแล้วเพราะไม่รู้อริยสัจทั้งสี่***
*****************************************************************
อนมตัคคสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. ติณกัฏฐสูตร
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

[๔๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า
บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้
แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว
พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้

***อุปมาเปรียบด้วยมารดา(เรามีแม่มามากแค่ไหน)***

สมมติว่า นี้เป็นมารดาของเรา
นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ
มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น
ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้
พึงถึงการหมดสิ้นไป

ข้อนั้นเพราะเหตุไรเพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปราก
พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ
ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้
พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑

๒. ปฐวีสูตร
[๔๒๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ...
แล้วได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯ

[๔๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า
บุรุษปั้นมหาปฐพีนี้ให้เป็นก้อน
ก้อนละเท่าเม็ดกระเบาแล้ววางไว้
สมมติว่า

***อุปมาด้วยบิดา(เคยมีบิดามามากแค่ไหน)***

นี้เป็นบิดาของเรา
นี้เป็นบิดาของบิดาของเรา โดยลำดับ
บิดาของบิดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด
ส่วนมหาปฐพีนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏพวกเธอได้เสวยทุกข์
ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า
ตลอดกาลนานเหมือนฉะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้
พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๒

๓. อัสสุสูตร
[๔๒๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ...
แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

***อุปมาน้ำตาที่เคยร้องไห้***

น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา
คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้
กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน ฯ

ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์ ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า น้ำตาที่หลั่งไหล
ออกของพวกข้าพระองค์
ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่
เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใ
เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้แหละ
มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ฯ

[๔๒๖] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรม
ที่เราแสดงแล้วอย่างนี้
ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกเธอ
ผู้ท่องเที่ยวไปมา ฯลฯ
โดยกาลนานนี้แหละ มากกว่า
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย
พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน
น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น
ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่
เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ...
ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ...
ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมแห่งญาติ ...
ความเสื่อมแห่งโภคะ ... ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค
ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น
ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่
เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ
เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั่นแหละมากกว่า
ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้
พอทีเดียว
เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัดพอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๓

๔. ขีรสูตร
[๔๒๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ...
แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน

***อุปมาน้ำนมมารดา ที่เคยดื่ม***

น้ำนมมารดา
ที่พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนานนี้ ดื่มแล้ว
กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ไหนจะมากกว่ากัน ฯ

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์ย่อมทราบธรรมตามที่
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
น้ำนมมารดา
ที่พวกข้าพระองค์ผู้ท่องเที่ยวไปมาอยู่โดยกาลนาน
ดื่มแล้วนั่นแหละ มากกว่า
น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ไม่มากกว่าเลย ฯ

[๔๒๘] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรม
ที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ถูกแล้ว
น้ำนมมารดา
ที่พวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา
อยู่โดยกาลนานดื่มแล้วนั่นแหละ มากกว่า
น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔

๕. ปัพพตสูตร
[๔๒๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯลฯ เมื่อภิกษุรูปนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่ง นานเพียงไรหนอแล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่าเท่านี้ปี
เท่านี้ ๑๐๐ ปี เท่านี้ ๑,๐๐๐ ปี หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ

[๔๓๐] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า

***อุปมา กัป ที่สัตว์ ท่องเที่ยวไปมาอยู่***

ภูเขาหินลูกใหญ่ยาวโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง
สูงโยชน์หนึ่งไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ
บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น๑๐๐ ปีต่อครั้ง
ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไป สิ้นไป
เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล
ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้

พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้ว
มิใช่หนึ่งกัป
มิใช่ร้อยกัป
มิใช่พันกัป
มิใช่แสนกัป

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้
พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๕

๖. สาสปสูตร
[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ

ครั้นภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไร หนอแล ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี ฯลฯ
หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ

***อุปมากัป เมล็ดพันธุ์ผักกาด***

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ
[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า
นครที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑
กว้างโยชน์ ๑
สูงโยชน์ ๑
เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด
มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น
โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น
พึงถึงความสิ้นไป หมดไปเพราะความพยายามนี้
ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป
กัปนานอย่างนี้แลบรรดากัปที่นานอย่างนี้

พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป
มิใช่ร้อยกัป
มิใช่พันกัป
มิใช่แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖

๗. สาวกสูตร
[๔๓๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ภิกษุหลายรูปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ

ครั้นภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปทั้งหลาย
ที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากเท่าไรหนอ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้วล่วงไปแล้ว มีมาก
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป
เท่านี้ ๑๐๐ กัปเท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป ฯ
ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ

[๔๓๔] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุทั้งหลาย แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มีสาวก๔ รูปในศาสนานี้
เป็นผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี
มีชีวิต ๑๐๐ ปีหากว่าท่านเหล่านั้น

***อุปมา การระลึกชาติถอยหลัง***

พึงระลึกถอยหลังไป ได้วันละแสนกัป กัปที่ท่านเหล่านั้นระลึกไม่ถึงพึงยังมีอยู่อีก สาวก ๔ รูปของเราผู้มีอายุ ๑๐๐ ปี
มีชีวิต ๑๐๐ ปี
พึงทำกาละโดยล่วงไป ๑๐๐ ปีๆ โดยแท้แล
กัปที่ผ่านไปแล้ว
ล่วงไปแล้ว
มีจำนวนมากอย่างนี้แล
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า
เท่านี้กัป เท่านี้ร้อยกัป เท่านี้พันกัป
หรือว่าเท่านี้แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๗

๘. คงคาสูตร
[๔๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน
เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล
พราหมณ์ผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย
กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นพราหมณ์นั้นนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
กัปที่ผ่านไปแล้ว
ล่วงไปแล้ว มากเท่าไรหนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์
กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากแล
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป
เท่านี้ ๑๐๐ กัปเท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้
๑๐๐,๐๐๐ กัป ฯ
พราหมณ์. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม ฯ

***อุปมา กัป เมล็ดทราย***

[๔๓๖] พ. อาจอุปมาได้ พราหมณ์ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า
ดูกรพราหมณ์ แม่น้ำคงคานี้ย่อมเกิดแต่ที่ใด
และย่อมถึงมหาสมุทร ณ ที่ใด
เมล็ดทรายในระยะนี้ไม่เป็นของง่ายที่จะกำหนดได้
ว่าเท่านี้เม็ด เท่านี้ ๑๐๐ เม็ดเท่านี้ ๑,๐๐๐ เม็ด
หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ เมล็ด
ดูกรพราหมณ์ กัปทั้งหลาย
ที่ผ่านไปแล้ว
ล่วงไปแล้ว มากกว่าเมล็ดทรายเหล่านั้น
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป
เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป

เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว
ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ
สัตว์เหล่านั้นได้เสวยทุกข์
ความเผ็ดร้อน ความพินาศ
ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น ดูกรพราหมณ์ก็เหตุเพียงเท่านี้
พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

[๔๓๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ผู้นั้นได้กราบทูลว่
แจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านพระโคดม
แจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านพระโคดม
ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์
ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๘

๙. ทัณฑสูตร
[๔๓๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ...
แล้วได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯลฯ

[๔๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นบนอากาศ
บางคราวก็ตกลงทางโคน
บางคราวก็ตกลงทางขวาง
บางคราวก็ตกลงทางปลาย
แม้ฉันใดสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้นแล
บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก
บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า

สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๙

๑๐. ปุคคลสูตร
[๔๔๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ
เขตพระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฯ

***อุปมา กองกระดูก***

[๔๔๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
เมื่อบุคคลหนึ่งท่องเที่ยวไปมาอยู่ตลอดกัปหนึ่งพึงมีโครงกระดูก
ร่างกระดูก กองกระดูก ใหญ่เท่าภูเขาเวปุลละนี้
ถ้ากองกระดูกนั้นพึงเป็นของที่จะขนมารวมกันได้ และ
กระดูกที่ได้สั่งสมไว้แล้ว ก็ไม่พึงหมดไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า

สงสารนี้กำหนดที่สุด
เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

[๔๔๒] พระผู้มีพระภาค ผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่า

เราผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า
กระดูกของบุคคลคนหนึ่งที่สะสมไว้กัปหนึ่ง
พึงเป็นกองเท่าภูเขา ก็ภูเขาที่เรากล่าวนั้น คือ ภูเขาใหญ่ชื่อเวปุลละ
อยู่ทิศเหนือของภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์
อันมีภูเขาล้อมรอบ

***โสดาบัน ชนิด ๗ ชาติ***

เมื่อใดบุคคลเห็นอริยสัจ
คือทุกข์
เหตุเกิดแห่งทุกข์
ความล่วงพ้นทุกข์
และอริยมรรคมีองค์ ๘
อันยังสัตว์ให้ถึงความสงบทุกข์ด้วยปัญญาอันชอบ
เมื่อนั้น

เขาท่องเที่ยว ๗ครั้งเป็นอย่างมาก
ก็เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้
เพราะสิ้นสัญโญชน์ทั้งปวง ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบปฐมวรรคที่ ๑
___________
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. ติณกัฏฐสูตร ๒. ปฐวีสูตร ๓. อัสสุสูตร ๔. ขีรสูตร
๕. ปัพพตสูตร ๖. สาสปสูตร ๗. สาวกสูตร ๘. คงคาสูตร
๙. ทัณฑสูตร ๑๐. ปุคคลสูตร ฯ

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
หน้าที่ ๑๗๗/๒๘๘ ข้อที่ ๔๒๑-๔๒๓
******************************************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จาก E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read?keywords=มหาสมุทร&language=thai&number=178&volume=16#
***********************************
ฟังพุทธวจนบรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika Suwan Kowsakul
 — กับ สรัลนันท์ เผ่าพืชพันธุ์Maki Pijika,ตักสิลา ล่องไพร และ ฟ้า ฟ้า