***..ว่าด้วยปาณาติบาต...ผล ..วิบากกรรม..คติที่ไป..***
************************** ******************
***ลักษณะและวิบาก แห่งสัมมากัมมันตะ***
************************** *******
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก ในกรณีนี้
ละปาณาติบาต
เว้นขาดจากปาณาติบาต.
ภิกษุ ท. ! อริยสาวกเว้นขาดจากปาณาติบา ตแล้ว
ย่อมชื่อว่า
ให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร ะมาณ ;
ครั้นให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร ะมาณแล้ว
ย่อมเป็นผู้ มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย
ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียน
อันไม่มีประมาณ.
.......................... ..........................
ย่อมชื่อว่า
ให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร ะมาณ;
ครั้นให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร ะมาณแล้ว
.......................... ................
ย่อมเป็นผู้ มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย
ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียน
อันไม่มีประมาณ.
.......................... .....................
ภิกษุ ท. ! นี้เป็น (อภัย) ทานอันดับที่สาม
เป็นมหาทาน
รู้จักกันว่าเป็นของเลิศ
เป็นของมีมานาน
เป็นของประพฤติสืบกันมาแต่โ บราณ
ไม่ถูกทอดทิ้งเลย
ไม่เคยถูกทอดทิ้งในอดีต
ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในปัจจุบั น
และจักไม่ถูกทอดทิ้งในอนาคต
อันสมณพราหมณ์ผู้รู้ไม่คัดค ้าน.
.......................... .......................
ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นท่อธารแห่งบุญ (อันดับที่หก)
เป็นที่ไหลออกแห่งกุศล
นำมาซึ่งสุข
เป็นไปเพื่อยอดสุดอันดี
มีสุขเป็นวิบาก
เป็นไปเพื่อสวรรค์
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกู ล
เพื่อความสุขอันพึงปรารถนา
น่ารักใคร่
น่าพอใจ.
- อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๕๐/๑๒๙.
หมวด ค. ว่าด้วย โทษและอานิสงส์ ของสัมมากัมมันตะ
***วิบากของมิจฉากัมมันตะ** *
************************
ภิกษุ ท. ! ปาณาติบาต ที่เสพทั่วแล้ว
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
.......................... .......................
ย่อมเป็นไปเพื่อนรก
เป็นไปเพื่อกำเนิดดิรัจฉาน
เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย.
………………………………………
วิบากแห่งปาณาติบาตของผู้เป ็นมนุษย์ที่เบากว่าวิบากทั้ งปวง
คือวิบากที่เป็นไปเพื่อมีอา ยุสั้น.
…………………………………………..
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๐๘๔
***กรรมที่เป็นเหตุให้ได้รั บผลเป็นความกระเสือกกระสน** *
************************** ****************
ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงธรรมปริยาย
อันแสดงความกระเสือกกระสนไป ตามกรรม (ของหมู่สัตว์)
แก่พวกเธอ.
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ด ี.
ธรรมปริยายอันแสดงความกระเส ือกกระสนไปตามกรรม (ของหมู่สัตว์) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
เป็นทายาทแห่งกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กระทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก ็ตาม
จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น.
ภิกษุ ท. ! คนบางคนในกรณีนี้
เป็นผู้ มีปกติทำปาณาติบาต
หยาบช้า
มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต
มีแต่การฆ่าและการทุบตี
ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชี วิต.
เขากระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) กาย
กระเสือกกระสนด้วย(กรรมทาง) วาจา
กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) ใจ;
กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด ;
คติของเขาคด
อุปบัติของเขาคด.
ภิกษุ ท. ! สำหรับผู้มีคติคด
มีอุบัติคดนั้น
เรากล่าวคติอย่างใดอย่างหนึ ่งในบรรดาคติสองอย่าง แก่เขา คือ
เหล่า สัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเ ดียว,
หรือว่า สัตว์เดรัจฉานผู้มีกำเนิดกร ะเสือกกระสน
ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า
หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น
ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกก ระสน.
ภิกษุ ท. ! ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่ างนี้ คือ
อุปบัติ(การเข้าถึงภพ) ย่อมมีแก่ภูตสัตว์,
เขาทำกรรมใดไว้ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมนั้น ,
ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภู ตสัตว์นั้นผู้อุปบัติแล้ว.
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่ง กรรม
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
- ทสก.อํ. ๒๔/๓๐๙/๑๙๓.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๐๘๘
(ในกรณีแห่งบุคคลผู้ กระทำอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ก็ได้ตรัสไว้ด้วย ข้อความอย่างเดียวกันกับในก รณีของผู้กระทำปาณาติบาตดัง กล่าวมาแล้วข้างบนทุกประการ ; และยังได้ตรัสเลยไปถึง วจีทุจริตสี่ มโนทุจริตสาม ด้วยข้อความอย่างเดียวกันอี กด้วย.
ต่อไปนี้ ได้ตรัสข้อความฝ่ายกุศล
***กรรมที่เป็นเหตุให้ได้รั บผลเป็นความไม่กระเสือกกระส น***
************************** ******************
ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กระทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก ็ตาม
จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้ น.
ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละปาณาติบาต
เว้นขาดจากปาณาติบาต
วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย
ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งหลาย.
เขาไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) กาย
ไม่กระเสือก กระสนด้วย (กรรมทาง) วาจา
ไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) ใจ;
กายกรรมของเขาตรง
วจีกรรมของเขาตรง
มโนกรรมของเขาตรง :
คติของเขาตรง
อุปบัติของเขาตรง.
ภิกษุ ท. ! สำหรับผู้มีคติตรง
มีอุปบัติตรงนั้น
เรากล่าวคติ
อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาคต ิสองอย่างแก่เขา
คือเหล่า
สัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว๑
หรือว่า ตระกูลอันสูง ตระกูลขัตติยมหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือ
ตระกูลคหบดีมหาศาลอันมั่งคั ่ง
มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก
มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก.
ภิกษุ ท. ! ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่ างนี้
คืออุปบัติ(การเข้าถึงภพ) ย่อมมีแก่ภูตสัตว์,
เขาทำกรรมใดไว้ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมนั้น ,
ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภู ตสัตว์นั้นผู้อุบัติแล้ว.
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลาย
เป็นทายาทแห่งกรรม
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
(ในกรณีแห่งบุคคลผู้ ไม่กระทำอทินนาทาน ไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจาร ก็ได้ ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่าง
เดียวกันกับในกรณีของผู้ไม่ กระทำปาณาติบาต ดังกล่าวมาแล้วข้างบนทุกประ การ; และยังได้ตรัสเลยไปถึง วจีสุจริตสี่ มโนสุจริตสาม ด้วยข้อความอย่างเดียวกันอี กด้วย)
ภิกษุ ท. ! นี้แล คือธรรมปริยาย
อันแสดงความกระเสือกกระสน ไป
ตามกรรม (ของหมู่สัตว์).
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๑๑/๑๙๓.
นิทเทศ ๑๗
ว่าด้วยสัมมากัมมันตะ
จบ
๑. คำนี้พระบาลีฉบับมอญและฉบับ ยุโรป ว่า สวรรค์อันมีสุขโดยส่วนเดียว .
***สัมปทา.***
**********
พ๎ยัคฆปัชชะ ! สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตร ในกรณีนี้
เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต
เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน
เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจ ฉาจาร
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากสุราเมรยม ัชชปมาทัฏฐาน.
พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เราเรียกว่า สีลสัมปทา.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๑๐๖
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ธรรม ๘ ประการที่พระผู้มีพระภาคตรั สแล้วแต่โดยย่อ
มิได้จำแนกแล้วโดยพิสดาร
ก็ยังเป็นไปเพื่อการตัดขาดโ วหาร (การลงทุนเพื่อกำไร)
ในอริยวินัยนั้น, ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงจำแนกธรรม ๘ ประการเหล่านี้
โดยพิสดารเพราะอาศัยความเอ็ นดูแก่ข้าพระองค์เถิด”
คฤหบดี ! ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
คฤหบดี ! ข้อที่เรากล่าวว่า
“อาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติ บาตละ
เสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบ าต“ ดังนี้นั้น
เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุผลดั งนี้ว่า
อริยสาวกในกรณีนี้
ย่อมใคร่ครวญเห็นดังนี้ว่า
เราปฏิบัติแล้วดังนี้
เพื่อละเสีย
เพื่อตัดขาดเสีย
ซึ่งสังโยชน์อันเป็นเหตุให้ เรากระทำปาณาติบาต.
อนึ่ง เมื่อเราประกอบกรรมอันเป็นป าณาติบาตอยู่
แม้เราเองก็ตำหนิตนเองได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย,
วิญญูชนใคร่ครวญแล้วก็ติเตี ยนเราได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย,
ภายหลังแต่การตายเพราะการทำ ลายแห่งกาย
ทุคติก็หวังได้เพราะปาณาติบ าตเป็นปัจจัย.
ปาณาติบาตนั่นแหละเป็นสังโย ชน์
ปาณาติบาตนั่นแหละ เป็นนิวรณ์.
อนึ่ง อาสวะเหล่าใดอันเป็นเครื่อง กระทำความคับแค้น
และเร่าร้อน เกิดขึ้นเพราะปาณาติบาตเป็น ปัจจัย ;
ครั้นเว้นขาดจากปาณาติบาตเส ียแล้ว
อาสวะอันเป็นเครื่องกระทำคว ามคับแค้น
และเร่าร้อนเช่นนั้นเหล่านั ้น
ย่อมไม่มี ดังนั้น
พึงอาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณา ติบาต
ละกรรมอันเป็นปาณาติบาตเสีย , ดังนี้.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๑๑๖
***ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไป เก็บไว้ในนรก***
************************** *****************
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ
ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัว ไปเก็บไว้ในนรก.
ธรรม ๑๐ ประการ อย่างไรเล่า?
สิบประการ คือ คนบางคนในกรณีนี้
เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่ วง
หยาบช้า
มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต
มีแต่การฆ่าและการทุบตี
ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชี วิต ๑;
(ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงบุคคล ผู้ กระทำอทินนาทาน กระทำกาเมสุมิจฉาจาร พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ ; ซึ่งแต่ละอย่าง ๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข ้อว่า “ลักษณะความสะอาด – ไม่สะอาด
ในอริยวินัย” เฉพาะฝ่ายชั่วหรือฝ่ายความไ ม่สะอาด ที่หน้า ๑๕๖๕ – ๖ แห่งหนังสือเล่มนี้ ;
แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - )
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกน ำตัวไปเก็บไว้ในนรก.
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๕/๑๘๙.
***ผู้สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำตั วไปเก็บไว้ในสวรรค์***
************************** *******************
ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ
ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัว ไปเก็บไว้ในสวรรค์.
ธรรม ๑๐ ประการอย่างไรเล่า ?
สิบประการ คือ บุคคลบางคนในกรณีนี้
ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่ว ง
เว้นขาดจากปาณาติบาต
วางท่อนไม้
วางศัสตรา
มีความละอาย
ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ ๑;
(ต่อไปนี้ได้ตรัสถึงบุคคลผู ้ เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากด้วยอภิชฌา ไม่มีพยาบาท เป็นสัมาทิฏฐิ; ซึ่งแต่ละอย่าง ๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข ้อว่า “ลักษณะความสะอาด –ไม่สะอาด ในอริย- วินัย” เฉพาะฝ่ายดี
ที่หน้า ๑๕๖๘ – ๙ แห่งหนังสือเล่มนี้ ; แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - )
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล
ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกน ำตัวไปเก็บไว้ในสวรรค์.
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๖/๑๘๙
( ในสูตรอื่น แทนที่จะเรียกผู้เป็นเจ้าขอ งกรณีว่า บุคคล แต่ไปทรงเรียกเสียว่า มาตุคามก็มี อุบาสิกาก็มี.
– ๒๔/๓๐๘/๑๙๐ – ๑๙๑.
สูตรอื่น ๆ แทนที่จะนับจำนวนกรรมบถมี สิบ
ได้ทรงขยายออกไปเป็น ๒๐ คือ
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำอีกสิบ,
และทรงขยายออกไปเป็น ๓๐ คือ
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำสิบ
ยินดีเมื่อเขาทำสิบ,
และทรงขยายออกไปเป็น ๔๐
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำสิบ
ยินดีเมื่อเขาทำสิบ
สรรเสริญผู้กระทำสิบ ;
จึงมีกรรมบถ สิบ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ.
- ๒๔/๓๕๒– ๓๓๒/๑๙๘ – ๒๐๑.
ในสูตรอื่น แสดงผลแห่งการกระทำแปลกออกไ ป
จากคำว่า เหมือนถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
เป็นว่า “เป็นผู้ขุดรากตนเอง” ก็มี
“ตายแล้วไปทุคคติ” ก็มี
“เป็นพาล” ก็มี ;
ส่วนผู้ที่เหมือนถูกนำไปเก็ บไว้ในสวรรค์นั้น
ทรงแสดงด้วยคำว่า “ผู้ไม่ขุดรากตนเอง” ก็มี
“ตายแล้วไปสุคติ” ก็มี
“เป็นบัณฑิต” ก็มี. – ๒๔/๓๓๒ -๓๓๓/๒๐๒ – ๒๐๓. )
ภาคผนวก
ว่าด้วยเรื่องนำมาผนวกเพื่อ ความสะดวกแก่การอ้างอิง
สำหรับเรื่องที่ตรัสซ้ำ ๆ บ่อย ๆ
จบ
อริยสัจจากพระโอษฐ์
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๕๗๒
************************
ค้นหา เทียบเคียง พุทธวจน ด้วย โปรแกรม E-Tipitaka
ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อันเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika
— กับ Maki Pijika, ตักสิลา ล่องไพร และ ฟ้า ฟ้า
**************************
***ลักษณะและวิบาก แห่งสัมมากัมมันตะ***
**************************
ภิกษุ ท. ! อริยสาวก ในกรณีนี้
ละปาณาติบาต
เว้นขาดจากปาณาติบาต.
ภิกษุ ท. ! อริยสาวกเว้นขาดจากปาณาติบา
ย่อมชื่อว่า
ให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร
ครั้นให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร
ย่อมเป็นผู้ มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย
ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียน
อันไม่มีประมาณ.
..........................
ย่อมชื่อว่า
ให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร
ครั้นให้อภัยทาน
อเวรทาน
อัพยาปัชฌทาน
แก่สัตว์ทั้งหลายมากไม่มีปร
..........................
ย่อมเป็นผู้ มีส่วนแห่ง
ความไม่มีภัย
ไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียน
อันไม่มีประมาณ.
..........................
ภิกษุ ท. ! นี้เป็น (อภัย) ทานอันดับที่สาม
เป็นมหาทาน
รู้จักกันว่าเป็นของเลิศ
เป็นของมีมานาน
เป็นของประพฤติสืบกันมาแต่โ
ไม่ถูกทอดทิ้งเลย
ไม่เคยถูกทอดทิ้งในอดีต
ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่ในปัจจุบั
และจักไม่ถูกทอดทิ้งในอนาคต
อันสมณพราหมณ์ผู้รู้ไม่คัดค
..........................
ภิกษุ ท. ! ข้อนี้เป็นท่อธารแห่งบุญ (อันดับที่หก)
เป็นที่ไหลออกแห่งกุศล
นำมาซึ่งสุข
เป็นไปเพื่อยอดสุดอันดี
มีสุขเป็นวิบาก
เป็นไปเพื่อสวรรค์
เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกู
เพื่อความสุขอันพึงปรารถนา
น่ารักใคร่
น่าพอใจ.
- อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๕๐/๑๒๙.
หมวด ค. ว่าด้วย โทษและอานิสงส์ ของสัมมากัมมันตะ
***วิบากของมิจฉากัมมันตะ**
************************
ภิกษุ ท. ! ปาณาติบาต ที่เสพทั่วแล้ว
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
..........................
ย่อมเป็นไปเพื่อนรก
เป็นไปเพื่อกำเนิดดิรัจฉาน
เป็นไปเพื่อเปรตวิสัย.
………………………………………
วิบากแห่งปาณาติบาตของผู้เป
คือวิบากที่เป็นไปเพื่อมีอา
…………………………………………..
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๐๘๔
***กรรมที่เป็นเหตุให้ได้รั
**************************
ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงธรรมปริยาย
อันแสดงความกระเสือกกระสนไป
แก่พวกเธอ.
เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังให้ด
ธรรมปริยายอันแสดงความกระเส
ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
เป็นทายาทแห่งกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กระทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก
จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น.
ภิกษุ ท. ! คนบางคนในกรณีนี้
เป็นผู้ มีปกติทำปาณาติบาต
หยาบช้า
มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต
มีแต่การฆ่าและการทุบตี
ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชี
เขากระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) กาย
กระเสือกกระสนด้วย(กรรมทาง)
กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) ใจ;
กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด ;
คติของเขาคด
อุปบัติของเขาคด.
ภิกษุ ท. ! สำหรับผู้มีคติคด
มีอุบัติคดนั้น
เรากล่าวคติอย่างใดอย่างหนึ
เหล่า สัตว์นรกผู้มีทุกข์โดยส่วนเ
หรือว่า สัตว์เดรัจฉานผู้มีกำเนิดกร
ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเค้า
หรือสัตว์เดรัจฉานเหล่าอื่น
ที่เห็นมนุษย์แล้วกระเสือกก
ภิกษุ ท. ! ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่
อุปบัติ(การเข้าถึงภพ) ย่อมมีแก่ภูตสัตว์,
เขาทำกรรมใดไว้ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมนั้น
ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภู
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลายเป็นทายาทแห่ง
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
- ทสก.อํ. ๒๔/๓๐๙/๑๙๓.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๐๘๘
(ในกรณีแห่งบุคคลผู้ กระทำอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ก็ได้ตรัสไว้ด้วย ข้อความอย่างเดียวกันกับในก
ต่อไปนี้ ได้ตรัสข้อความฝ่ายกุศล
***กรรมที่เป็นเหตุให้ได้รั
**************************
ภิกษุ ท. ! สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีกรรมเป็นของตน
เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
กระทำกรรมใดไว้ดีก็ตามชั่วก
จักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้
ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละปาณาติบาต
เว้นขาดจากปาณาติบาต
วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย
ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูล
เขาไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) กาย
ไม่กระเสือก กระสนด้วย (กรรมทาง) วาจา
ไม่กระเสือกกระสนด้วย (กรรมทาง) ใจ;
กายกรรมของเขาตรง
วจีกรรมของเขาตรง
มโนกรรมของเขาตรง :
คติของเขาตรง
อุปบัติของเขาตรง.
ภิกษุ ท. ! สำหรับผู้มีคติตรง
มีอุปบัติตรงนั้น
เรากล่าวคติ
อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาคต
คือเหล่า
สัตว์ผู้มีสุขโดยส่วนเดียว๑
หรือว่า ตระกูลอันสูง ตระกูลขัตติยมหาศาล
ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือ
ตระกูลคหบดีมหาศาลอันมั่งคั
มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก
มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์มาก.
ภิกษุ ท. ! ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่
คืออุปบัติ(การเข้าถึงภพ) ย่อมมีแก่ภูตสัตว์,
เขาทำกรรมใดไว้ เขาย่อมอุปบัติด้วยกรรมนั้น
ผัสสะทั้งหลายย่อมถูกต้องภู
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลาย
เป็นทายาทแห่งกรรม
ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้.
(ในกรณีแห่งบุคคลผู้ ไม่กระทำอทินนาทาน ไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจาร ก็ได้ ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่าง
เดียวกันกับในกรณีของผู้ไม่
ภิกษุ ท. ! นี้แล คือธรรมปริยาย
อันแสดงความกระเสือกกระสน ไป
ตามกรรม (ของหมู่สัตว์).
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๑๑/๑๙๓.
นิทเทศ ๑๗
ว่าด้วยสัมมากัมมันตะ
จบ
๑. คำนี้พระบาลีฉบับมอญและฉบับ
***สัมปทา.***
**********
พ๎ยัคฆปัชชะ ! สีลสัมปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
พ๎ยัคฆปัชชะ ! กุลบุตร ในกรณีนี้
เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต
เป็นผู้เว้นขาดจากอทินนาทาน
เป็นผู้เว้นขาดจากกาเมสุมิจ
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากสุราเมรยม
พ๎ยัคฆปัชชะ ! นี้เราเรียกว่า สีลสัมปทา.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๑๐๖
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
ธรรม ๘ ประการที่พระผู้มีพระภาคตรั
มิได้จำแนกแล้วโดยพิสดาร
ก็ยังเป็นไปเพื่อการตัดขาดโ
ในอริยวินัยนั้น, ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงจำแนกธรรม ๘ ประการเหล่านี้
โดยพิสดารเพราะอาศัยความเอ็
คฤหบดี ! ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง
จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว.
คฤหบดี ! ข้อที่เรากล่าวว่า
“อาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติ
เสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบ
เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุผลดั
อริยสาวกในกรณีนี้
ย่อมใคร่ครวญเห็นดังนี้ว่า
เราปฏิบัติแล้วดังนี้
เพื่อละเสีย
เพื่อตัดขาดเสีย
ซึ่งสังโยชน์อันเป็นเหตุให้
อนึ่ง เมื่อเราประกอบกรรมอันเป็นป
แม้เราเองก็ตำหนิตนเองได้
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย,
วิญญูชนใคร่ครวญแล้วก็ติเตี
เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย,
ภายหลังแต่การตายเพราะการทำ
ทุคติก็หวังได้เพราะปาณาติบ
ปาณาติบาตนั่นแหละเป็นสังโย
ปาณาติบาตนั่นแหละ เป็นนิวรณ์.
อนึ่ง อาสวะเหล่าใดอันเป็นเครื่อง
และเร่าร้อน เกิดขึ้นเพราะปาณาติบาตเป็น
ครั้นเว้นขาดจากปาณาติบาตเส
อาสวะอันเป็นเครื่องกระทำคว
และเร่าร้อนเช่นนั้นเหล่านั
ย่อมไม่มี ดังนั้น
พึงอาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณา
ละกรรมอันเป็นปาณาติบาตเสีย
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๑๑๖
***ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไป
**************************
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ
ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัว
ธรรม ๑๐ ประการ อย่างไรเล่า?
สิบประการ คือ คนบางคนในกรณีนี้
เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่
หยาบช้า
มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต
มีแต่การฆ่าและการทุบตี
ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชี
(ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงบุคคล ผู้ กระทำอทินนาทาน กระทำกาเมสุมิจฉาจาร พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ ; ซึ่งแต่ละอย่าง ๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข
ในอริยวินัย” เฉพาะฝ่ายชั่วหรือฝ่ายความไ
แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - )
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกน
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๕/๑๘๙.
***ผู้สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำตั
**************************
ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ
ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัว
ธรรม ๑๐ ประการอย่างไรเล่า ?
สิบประการ คือ บุคคลบางคนในกรณีนี้
ละการทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่ว
เว้นขาดจากปาณาติบาต
วางท่อนไม้
วางศัสตรา
มีความละอาย
ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูล
(ต่อไปนี้ได้ตรัสถึงบุคคลผู
ที่หน้า ๑๕๖๘ – ๙ แห่งหนังสือเล่มนี้ ; แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - )
ภิกษุ ท.! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล
ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกน
- ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๖/๑๘๙
( ในสูตรอื่น แทนที่จะเรียกผู้เป็นเจ้าขอ
– ๒๔/๓๐๘/๑๙๐ – ๑๙๑.
สูตรอื่น ๆ แทนที่จะนับจำนวนกรรมบถมี สิบ
ได้ทรงขยายออกไปเป็น ๒๐ คือ
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำอีกสิบ,
และทรงขยายออกไปเป็น ๓๐ คือ
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำสิบ
ยินดีเมื่อเขาทำสิบ,
และทรงขยายออกไปเป็น ๔๐
ทำเองสิบ
ชักชวนผู้อื่นให้ทำสิบ
ยินดีเมื่อเขาทำสิบ
สรรเสริญผู้กระทำสิบ ;
จึงมีกรรมบถ สิบ ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ.
- ๒๔/๓๕๒– ๓๓๒/๑๙๘ – ๒๐๑.
ในสูตรอื่น แสดงผลแห่งการกระทำแปลกออกไ
จากคำว่า เหมือนถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
เป็นว่า “เป็นผู้ขุดรากตนเอง” ก็มี
“ตายแล้วไปทุคคติ” ก็มี
“เป็นพาล” ก็มี ;
ส่วนผู้ที่เหมือนถูกนำไปเก็
ทรงแสดงด้วยคำว่า “ผู้ไม่ขุดรากตนเอง” ก็มี
“ตายแล้วไปสุคติ” ก็มี
“เป็นบัณฑิต” ก็มี. – ๒๔/๓๓๒ -๓๓๓/๒๐๒ – ๒๐๓. )
ภาคผนวก
ว่าด้วยเรื่องนำมาผนวกเพื่อ
สำหรับเรื่องที่ตรัสซ้ำ ๆ บ่อย ๆ
จบ
อริยสัจจากพระโอษฐ์
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๕๗๒
************************
ค้นหา เทียบเคียง พุทธวจน ด้วย โปรแกรม E-Tipitaka
ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อันเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น