วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กฎอิทัปปัจจยตา หัวใจ ปฏิจจสมุปบาท


***กฎ อิทัปปัจจยตา ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติที่อาศัยกันละกันเกิดขึ้น***
***********************************************************************

อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ ... เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ ... เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ ...เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ ...เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ

นี่ึคือ กฎของ อิทัปปัจจยตา ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติที่อาศัยกันละกันเกิดขึ้น
และธรรมชาติของจิตนี้มีอยู่ในตัวของคนทุกคนในโลกธาตุ พิสูจน์ได้วันนี้เวลานี้ เป็น ปัจจัตตัง (รู้เฉพาะตน) เป็นสิกขีภูโต เอาตนเองเป็นพยานของตน

ไม่ต้องเชื่อจากการฟังหรือบอกเล่ากันมา ....

***ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา***
**************************
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลา
ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวลเข้าแล้ว
ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท
นั่นแหละโดยแยบคายเป็นอย่างดีในกายนั้นว่า

เพราะเหตุนี้ๆ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ

กล่าวคือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารหลาย
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯ

ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วย
สามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ
สังขารจึงดับ ฯลฯ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
ความกังวลอะไรๆ ว่า

สิ่งนี้ของเรา หรือว่าสิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.

และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว
พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอาการอย่างนี้
มัจจุราชย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้.
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า
ความกังวลอะไรๆ ...
ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.

และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลา
ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสียเถิด
สิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุข ตลอดกาลนาน.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย

รูป
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงละรูปเสียเถิ
รูปนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุข
ตลอดกาลนาน

เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลาย จงละวิญญาณนั้นเสียเถิด
วิญญาณนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุขตลอดกาลนาน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?

หญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ในวิหารเชตวันนี้คนพึงนำไป
เผาเสีย หรือว่าทำตามปัจจัย
ท่านทั้งหลายพึงมีความดำริอย่างนี้หรือว่า
คนย่อมนำไปเผาเสีย ซึ่งเราทั้งหลาย หรือทำตามปัจจัย.
ความดำรินั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า

สิ่งนั้นไม่ใช่ตนหรือของเนื่องด้วยตนแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลา
ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสียเถิด
สิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักมีเพื่อประโยชน์
เพื่อสุข
ตลอดกาลนาน ฉันนั้นแล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย

รูป
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ...

วิญญาณ
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสียเถิด
วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุข ตลอดกาลนาน แม้ด้วยเหตุ
อย่างนี้ จึงชื่อว่า

ความกังวลอะไรๆ ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.

พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
หน้าที่ ๔๑๘/๔๙๔ ข้อที่ ๘๖๔-๘๖๕
http://etipitaka.com/read?keywords=อิทัปปัจจยตา&language=thai&number=418&volume=29#
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย Oura Rsp
 — กับ ตักสิลา ล่องไพร และ ฟ้า ฟ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น