*** ...สาวก...องค์ สุดท้าย..ของพระผู้มีพระภาค ฯ***
************************** ************************** ***
สุภัททะ ปริพาชกได้สดับว่า
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั จฉิมยามแห่งราตรี ในวันนี้แหละ
สุภัทท ปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี ้ว่า ก็เราสดับถ้อยคำของพวก
ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ก ล่าวอยู่ว่า
พระตถาคตอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติใน โลก ในบางครั้งบางคราว
พระสมณโคดมจัก ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งรา ตรีในวันนี้แหละ
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้
ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอ ยู่
เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่ างนี้ว่า
พระสมณโคดม ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา
โดยประการที่เราจะพึงละธรรม อันเป็นที่สงสัย นี้ได้ ฯ
ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกเข้าไปยังสาลว ันอันเป็นที่แวะพักของพวกเจ ้า
มัลละ เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์
ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพว กปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่
ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้ง บางคราว
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แห ละ
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ก็มีอยู่
ข้าพเจ้าเลื่อมใสในพระสมณโค ดมอย่างนี้ว่า
พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดง ธรรมแก่ข้าพเจ้าโดย
ประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธร รมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้
ข้าแต่ท่านอานนท์ ขอโอกาส เถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโค ดม
เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอย่ างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวตอบสุ ภัททปริพาชกว่า
อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่า เบียดเบียนพระตถาคตเลย
พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว แม้ครั้งที่สอง
สุภัททปริพาชก ... แม้ครั้งที่สาม
สุภัททปริพาชกก็ได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์
ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพว กปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่
ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั จฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แห ละ
อนึ่ง ธรรมเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า ก็มีอยู่
ข้าพเจ้าเลื่อมใสใน พระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดง ธรรมแก่ข้าพเจ้าโดย
ประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธร รมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ขอโอกาสเถิด
ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโค ดม แม้ครั้งที่สาม
ท่านพระอานนท์ ก็ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชก ว่า
อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคต เลย
พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว
พระผู้มีพระภาคทรงได้ยินถ้อ ยคำท่านพระอานนท์เจรจากับสุ ภัททปริพาชก
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์ม ารับสั่งว่า
อย่าเลยอานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะจงได้เฝ้าตถาคต
สุภัททะจักถามปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา
จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียน
อนึ่ง เราอัน สุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใดแก่ส ุภัททะนั้น
สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อ ความนั้นโดยฉับพลันทีเดียว ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้บอกสุภัททป ริพาชกว่า ไปเถิดสุภัททะ พระผู้มีพระภาคทรงทำโอกาสแก ่ท่าน สุภัททปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระ ผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศ รัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใด เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ
เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี
คือบูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร
นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู ้
หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ
ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด
ดูกรสุภัททะเราจักแสดงธรรมแ ก่ท่าน
ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว
สุภัททปริพาชก
ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพ ระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรสุภัททะ
ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค ์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔
ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘
ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยช อบ
โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหัน ต์ทั้งหลาย ฯ
[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล
ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห ่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอกแต่ธรรมวินัยน ี้ ฯ
สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะ ผู้รู้ทั่วถึง ก็
ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ ทั้งหลาย ฯ
[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่ างนี้แล้ว สุภัททปริพาชก ได้กราบ ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที ่คว่ำ
เปิดของที่ปิดบอกทางแก่คนหล งทาง
หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้
ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระ ธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น เหมือน กัน
ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์
ว่าเป็นสรณะข้าพระองค์พึงได ้บรรพชา
พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระ ผู้มีพระภาค ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาสสี่เด ือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุ ทั้งหลายเต็มใจแล้วจึงให้บร รพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุ ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่ง บุคคลในข้อนี้ ฯ
สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถ ีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยน ี้ จะต้องอยู่ปริวาสสี่เดือนเม ื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความ เป็นภิกษุไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาสสี่ ปี เมื่อล่วงสี่ปี ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบทเถิด ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่า นพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถ ิด ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรั สของ พระผู้มีพระภาคแล้ว
สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่า นพระอานนท์ว่า ดูกรท่านอานนท์ ผู้มีอายุ
เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรงอภิเษกด้วยอั นเตวาสิกา
ภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศา สนานี้
สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภ าค
ก็ท่านสุภัททปริพาชกได้บรรพ ชาอุปสมบทแล้วไม่นาน
หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
มีตนส่งไปแล้วอยู่
ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจ รรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
ที่กุลบุตร ทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโ ดยชอบ
ด้วยปัญญา อันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างน ี้ มิได้มี
ท่านสุภัททะได้เป็นอรหันต์ร ูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านเป็นสักขิสาวกองค์ สุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ฯ
จบภาณวารที่ห้า
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๑๒๐/๒๖๑ ข้อที่ ๑๓๘
************************** *
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/ read?keywords=สมณะที่+๑&lan guage=thai&number=121&volu me=10#
**************************
ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย. Maki Pijika
— กับ Maki Pijika, ตักสิลา ล่องไพร และ ฟ้า ฟ้า**************************
สุภัททะ ปริพาชกได้สดับว่า
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั
สุภัทท ปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี
ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ก
พระตถาคตอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติใน
พระสมณโคดมจัก ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งรา
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้
ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอ
เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่
พระสมณโคดม ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา
โดยประการที่เราจะพึงละธรรม
ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกเข้าไปยังสาลว
มัลละ เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์
ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพว
ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั
อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเลื่อมใสในพระสมณโค
พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดง
ประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธร
ข้าแต่ท่านอานนท์ ขอโอกาส เถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโค
เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอย่
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวตอบสุ
อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่า เบียดเบียนพระตถาคตเลย
พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว
สุภัททปริพาชก ... แม้ครั้งที่สาม
สุภัททปริพาชกก็ได้กล่าวว่า
ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพว
ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปั
อนึ่ง ธรรมเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเลื่อมใสใน พระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดง
ประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธร
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ขอโอกาสเถิด
ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระสมณโค
ท่านพระอานนท์ ก็ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชก
อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคต
พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว
พระผู้มีพระภาคทรงได้ยินถ้อ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์ม
อย่าเลยอานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะจงได้เฝ้าตถาคต
สุภัททะจักถามปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่งกะเรา
จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียน
อนึ่ง เราอัน สุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใดแก่ส
สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อ ความนั้นโดยฉับพลันทีเดียว ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้บอกสุภัททป
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใด เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ
เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติว่าเป็นคนดี
คือบูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร
นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด
ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู
หรือว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ
ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด
ดูกรสุภัททะเราจักแสดงธรรมแ
ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว
สุภัททปริพาชก
ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพ
ดูกรสุภัททะ
ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคประกอบด้วยองค
ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔
ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘
ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔
ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยช
โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหัน
[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล
ตั้งแต่เราบวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห
สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะ ผู้รู้ทั่วถึง ก็
ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ
[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที
เปิดของที่ปิดบอกทางแก่คนหล
หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้
ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระ
ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรม
ว่าเป็นสรณะข้าพระองค์พึงได
พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาสสี่เด
สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่า
สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่า
เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรงอภิเษกด้วยอั
ภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศา
สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภ
ก็ท่านสุภัททปริพาชกได้บรรพ
หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
มีตนส่งไปแล้วอยู่
ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจ
ที่กุลบุตร ทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโ
ด้วยปัญญา อันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างน
ท่านสุภัททะได้เป็นอรหันต์ร
ท่านเป็นสักขิสาวกองค์ สุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ฯ
จบภาณวารที่ห้า
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๑๒๐/๒๖๑ ข้อที่ ๑๓๘
**************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/
**************************
ฟังพุทธวจน บรรยายได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย. Maki Pijika