***กำจัดความกลัว***
*********************
** ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความกลัวจักหายไป**
*****************************************************
[๘๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
หากความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดีพึงบังเกิดแก่
พวกเธอผู้ไปในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี
อยู่ในเรือนที่ว่างเปล่าก็ดี
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงเรา
***ระลึกถึงพระพุทธ***
นี้แหละว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว
เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเรา
อยู่ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงเรา
***ระลึกถึงธรรม***
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระธรรม
ว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
บุคคลพึงเห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดูได้
ควรน้อมเข้าไปในตน
อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระธรรมอยู่
ความกลัวก็ดีความ
หวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงพระธรรม
***ระลึกถึงพระสงฆ์***
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์
ว่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติตรง
เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง
พระสงฆ์นั้นคือใคร
ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่
รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด
นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ
เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา
เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นบุญเขตของโลก
ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า
เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระสงฆ์อยู่
ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร
***ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความกลัวหายไป เพราะเหตุไร***
เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นผู้ปราศจากราคะ
ปราศจากโทสะ
ปราศจากโมหะ
ไม่เป็นผู้กลัว
ไม่หวาด
ไม่สะดุ้ง
ไม่หนีไป ฯ
[๘๖๖] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายอยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี
อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้าเถิด
ความกลัวไม่พึงมีแก่เธอทั้งหลาย
ถ้าว่าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ผู้เจริญที่สุดในโลกผู้องอาจกว่านรชน
ทีนั้นเธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระธรรม
อันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้ว
ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระธรรมอันนำออกจากทุกข์
อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้ว
ทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระสงฆ์
ผู้เป็นบุญเขต ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลาย
ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม
และพระสงฆ์อยู่
ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
จักไม่มีเลย ฯ
เวปจิตติสูตรที่ ๔
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
หน้าที่ ๒๖๔/๒๘๙ ข้อที่ ๘๖๕
*************************************
อ่านพุทธวจนเพิ่มเติมได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read?language=thai&number=0&volume=15 #
*************************************
ฟังพุทธวจน บรรยาย ได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika
— กับ Maki Pijika, ตักสิลา ล่องไพร และ ฟ้า ฟ้า
*********************
** ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความกลัวจักหายไป**
**************************
[๘๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
หากความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดีพึงบ
พวกเธอผู้ไปในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี
อยู่ในเรือนที่ว่างเปล่าก็ด
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึง
***ระลึกถึงพระพุทธ***
นี้แหละว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเ
เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาแล
เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเรา
อยู่ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงเรา
***ระลึกถึงธรรม***
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึง
ว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภา
บุคคลพึงเห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดูได้
ควรน้อมเข้าไปในตน
อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระธ
ความกลัวก็ดีความ
หวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงพระ
***ระลึกถึงพระสงฆ์***
ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึง
ว่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพ
เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติตรง
เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง
พระสงฆ์นั้นคือใคร
ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่
รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด
นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้
เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขา
เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ
เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา
เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นบุญเขตของโลก
ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า
เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระส
ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะ
***ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความกลัวหายไป เพราะเหตุไร***
เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมม
เป็นผู้ปราศจากราคะ
ปราศจากโทสะ
ปราศจากโมหะ
ไม่เป็นผู้กลัว
ไม่หวาด
ไม่สะดุ้ง
ไม่หนีไป ฯ
[๘๖๖] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตน
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายอยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี
อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้าเ
ความกลัวไม่พึงมีแก่เธอทั้ง
ถ้าว่าเธอทั้งหลายไม่พึงระล
ผู้เจริญที่สุดในโลกผู้องอา
ทีนั้นเธอทั้งหลายพึงระลึกถ
อันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้
ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถ
อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้
ทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระส
ผู้เป็นบุญเขต ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลาย
ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม
และพระสงฆ์อยู่
ความกลัวก็ดี
ความหวาดสะดุ้งก็ดี
ความขนพองสยองเกล้าก็ดี
จักไม่มีเลย ฯ
เวปจิตติสูตรที่ ๔
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
หน้าที่ ๒๖๔/๒๘๙ ข้อที่ ๘๖๕
**************************
อ่านพุทธวจนเพิ่มเติมได้จาก
http://etipitaka.com/
**************************
ฟังพุทธวจน บรรยาย ได้ที่ www.watnapp.com
อัญเชิญภาพพระสูตรโดย Maki Pijika
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น