วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สนทนาธรรมบ่ายวันพฤหัสที่ 16 กรกฏาคม 2558 (แสดงธรรมให้กับคณะ วปอ)
พระพุทธวเจ้าตรัสรู้อะไร..เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว..มิจฉาทิฏฐิ..ทั้งหลายจะหมดไป สุดยอดมาก อนุโมทนาสาธุกับโยมท่านนี้คะ
https://www.youtube.com/watch?v=bSBO5dyRZBA
สงสารวัฏ วิชชาที่หนึ่ง พระศาสดาตรัสรู้ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
***สงสารวัฏ...วิชชาที่หนึ่ง(พระศาสดาตรัสรู้)..บุพเพนิวาสานุสสติญาณ***
***************************************************
***บุพเพนิวาสานุสสติญาณ****
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน
ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไปเพื่อ
****บุพเพนิวาสานุสสติญาณ***
เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง
สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง
ห้าชาติบ้าง
สิบชาติบ้าง
ยี่สิบชาติบ้าง
สามสิบชาติบ้าง
สี่สิบชาติบ้าง
ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง
พันชาติบ้าง
แสนชาติบ้าง
ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง
ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง
ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง
ว่าในภพโน้น
เราได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพโน้นนั้น
เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว
ได้มาเกิดในภพนี้
เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอุเทส
พร้อมทั้งอาการ
ด้วยประการฉะนี้
พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล
เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี
อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร
เผากิเลส
ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น
ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล
ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
หน้าที่ ๕/๗๕๔ ข้อที่ ๓
***********************************
กรรม วิชชาที่สอง ที่พระศาสดาตรัสรู้ จุตูปปาตญาณ
***..กรรม...วิชชาที่สอง(ที่พระศาสดาตรัสรู้)... จุตูปปาตญาณ..***
*******************************************
***จุตูปปาตญาณ***
********************
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน
ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไป
***เพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย***
เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ
เลว
ประณีต
มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม
ได้ดี
ตกยาก
***ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์..ล่วงจักษุของมนุษย์***
ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า
หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้
ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป
เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
________
หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้
ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
_________
เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ
เลว
ประณีต
มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม
ได้ดี
ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้
พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล
เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี
อวิชชา
เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลส
ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น
ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล
ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
__________
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
หน้าที่ ๕/๗๕๔ ข้อที่ ๓
--
อริยสัจสี่ วิชชาสาม พระศาสดาตรัสรู้ อาสวักขยญาณ
***อริยสัจสี่...วิชชาสาม(พระศาสดาตรัสรู้)...อาสวักขยญาณ***
******************************************************************
***อาสวักขยญาณ***
***********************
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน
ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไปเพื่อ
***อาสวักขยญาณ***
เรานั้นได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้เหตุให้เกิดทุกข์
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
เหล่านี้อาสวะ
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้เหตุให้เกิดอาสวะ
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้ความดับอาสวะ
ได้รู้ชัด
ตามเป็นจริงว่า
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ
เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้
จิตได้หลุดพ้นแล้ว
แม้จากกามาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว
ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า
ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้
มิได้มี
พราหมณ์
วิชชาที่สาม
นี้แล
เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี
อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล
ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกะเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
หน้าที่ ๗/๗๕๔ ข้อที่ ๔-๕
****************************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…
****************************************
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น