วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สนทนาธรรมนอกสถานที่ ณ พุทธวจนสถาบันคิดดีคลีนิก 26 กรกฏาคม 2558
**เมื่อท่านปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นท่านอีกเลย..อาตมาถามกลับว่า..ท่านเห็นเรามั๊ย??..ใครนึกพระสูตรได้เก่ง..(มี Hero ด้วย)**
ประมาณนาทีที่ <<1.16>>https://www.youtube.com/watch?v=w519wMwm4Ck
จิตเป็นสมาธิแล้ว
รู้อริยสัจได้แจ่มใส เหมือนเห็นของในน้ำอันใส
***************************
...ครั้นจิตตั้งมั่น บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส
เป็นธรรมชาติอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งอยู่ได้ ไม่หวั่นไหว
เช่นนี้แล้ว, เธอก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ ญาณเป็นเครื่องสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย.
เธอย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์; เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ, นี้เป็นความดับไม่เหลือของอาสวะ, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ;" ดังนี้.
เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้จิตก็พ้นแล้ว จาก อาสวะคือ
กาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา.
ครั้นจิตพ้นแล้วก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า "พ้นแล้ว" เธอรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้
ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนห้วงน้ำใส ที่ไหล่เขา ไม่ขุ่นมัว,
คนมีจักษุ (ไม่บอด) ยืนอยู่บนฝั่ง ณ ที่นั้น : เขาจะเห็นหอย
ต่าง ๆ บ้าง กรวดและหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง อันหยุดอยู่และว่าย
ไปในห้วงน้ำนั้น. เขาจำจะสำนึกใจอย่างนี้ว่า
"ห้วงน้ำนี้ใสไม่ขุ่นมัวเลย : หอย ก้อนกรวด ปลาทั้งหลายเหล่านี้ หยุดอยู่บ้าง ว่ายไปบ้าง ในห้วงน้ำนั้น" : อุปมานี้เป็นฉันใด;
ภิกษุ ท.! อุปไมยก็ฉันนั้นเหมือนกัน, ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ว่า "นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์. นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์; เหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย, นี้เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของอาสวะ, และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของอาสวะ;" ดังนี้.
เมื่อเธอรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นแล้ว จากอาสวะ
คือกาม อาสวะคือภพ อาสวะคืออวิชชา. ครั้นจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ ว่า "พ้นแล้ว" เธอนั้นรู้ชัดว่า "ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความหลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก" ดังนี้.
- มู. ม. ๑๒/๕๐๙/๔๗๗.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ (ภาคต้น) หน้า ๗๖-๗๗
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น