วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
พอจ เมตตาอธิบายให้ผู้ใหม่ได้เข้าใจเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลองฟังกัน...
***อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา***
*****************************
https://www.youtube.com/watch?v=Dkp-N1qL5Rk
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
#พิจารณาโดยความไม่เที่ยง
รูปไม่เที่ยง
เวทนาไม่เที่ยง
สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง
วิญญาณไม่เที่ยง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
#ย่อมเบื่อหน่าย
แม้ในรูป
แม้ในเวทนา
แม้ในสัญญา
แม้ในสังขาร
แม้ในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย
#ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด
#จึงหลุดพ้น.
เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว.
อริยสาวกนั้น
#ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#พิจารณาโดยความเป็นทุกข์
#ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์
เวทนาเป็นทุกข์
สัญญาเป็นทุกข์
สังขารเป็นทุกข์
วิญญาณเป็นทุกข์.
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
#ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#พิจารณาโดยความเป็นอนัตตา
#ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา
เวทนาเป็นอนัตตา
สัญญาเป็นอนัตตา
สังขารเป็นอนัตตา
วิญญาณเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา
แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น.
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว.
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สิ่งใดเป็นอนัตตา
#สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา #ไม่เป็นเรา #ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้
อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้
เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ
สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ
สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยสัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้
เวทนาเป็นทุกข์ ฯลฯ
สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ
สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ
วิญญาณเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้.
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา
รูปนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้
อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
เวทนาเป็นอนัตตา ฯลฯ
สัญญาเป็นอนัตตา ฯลฯ
สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ
วิญญาณเป็นอนัตตา ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเหตุปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่เที่ยง แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เกิดจากสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า?
เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ
สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ
สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง
แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง.
ดูกรภิกษุทั้งหลายวิญญาณที่เกิดจากสิ่งไม่เที่ยง ที่ไหนจะเที่ยงเล่า?
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า
ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งเหตุปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจะเป็นสุขเล่า?
เวทนาเป็นทุกข์ ฯลฯ
สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ
สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ
วิญญาณเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า?
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งเหตุปัจจัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็เป็นอนัตตา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า?
เวทนาเป็นอนัตตา ฯลฯ
สัญญาเป็นอนัตตา ฯลฯ
สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ
วิญญาณเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น ก็เป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณที่เกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า?
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
#ว่าด้วยความดับแห่งขันธ์๕
พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล
ท่านพระอานนท์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
#ความดับเรียกว่านิโรธ
ความดับแห่งธรรมเหล่าไหนแล เรียกว่า นิโรธ.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์
รูปแลเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา
#ความดับแห่งรูปนั้น #เรียกว่านิโรธ.
เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ
สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ
สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ
วิญญาณไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา
มีความดับไปเป็นธรรมดา
#ความดับแห่งวิญญาณนั้น #เรียกว่านิโรธ.
ดูกรอานนท์ ความดับแห่งธรรมเหล่านี้แล เรียกว่านิโรธ.
(ภาษาไทย) ขนธ. สํ. ๑๗/๒๐-๒๔/๓๙-๔๘.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น