วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ดิรัจฉานกถา



‪#‎ดิรัจฉานกถา‬
‪#‎เรื่องที่ควรกล่าว‬ ฐานะที่ควรสรรเสริญ
วัตถุกถาสูตรที่ ๒
[๗๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
ภิกษุเป็นจำนวนมากกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต
นั่งประชุมกันที่หอฉัน สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ
‪#‎สนทนาเรื่องพระราชา‬
‪#‎เรื่องโจร‬ ฯลฯ ‪#‎เรื่องความเจริญและความเสื่อม‬ ครั้งนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้น
ในเวลาเย็นเสด็จเข้าไปยังหอฉัน
ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้ว
ได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ
ก็แหละกถาอะไรที่เธอทั้งหลายสนทนาค้างไว้
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานพระวโรกาส
ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต
นั่งประชุมกันที่หอฉัน
‪#‎สนทนาดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก‬ คือ
สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจร ฯลฯ เรื่องความเจริญและ
ความเสื่อม พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายสนทนา
ดิรัจฉานกถาเป็นอันมาก คือ สนทนาเรื่องพระราชา เรื่องโจรฯลฯ
เรื่องความเจริญและความเสื่อมนี้
ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลายผู้เป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธาเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
‪#‎ฐานะที่ควรสรรเสริญ๑๐‬ อย่างนี้ ๑๐ อย่างเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
‪#‎ตนเองเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย‬
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อย
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สันโดษและกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สันโดษแก่ภิกษุทั้งหลาย‬
ภิกษุผู้สันโดษ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สันโดษแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สงัด‬ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัดแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้สงัด และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สงัดแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ‬
และกล่าวกถาปรารภความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ และกล่าวกถาปรารภความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้ปรารภความเพียร‬ และกล่าวกถาปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ปรารภความเพียร และกล่าวกถาปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล‬ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยศีลแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ‬ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา‬
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาแก่ภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ‬ และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยวิมุตติแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยวิมุตติแก่ภิกษุทั้งหลายนี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
‪#‎ตนเองเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ‬
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
แก่ภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ
และกล่าวกถาปรารภความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย นี้เป็นฐานะควรสรรเสริญ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายฐานะที่ควรสรรเสริญ ๑๐ อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
หน้าที่ ๑๑๕/๓๓๓ ข้อที่ ๗๐
http://etipitaka.com/read…#

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น