****พาหิยะ!..บรรลุอรหันต์.
**************************
ดูกรพาหิยะ
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรพาหิยะ
ในกาลใดแล
เมื่อท่าน...เห็น..จักเป็น.
เมื่อ.........ฟัง......จัก
เมื่อ......ทราบ.....จักเป็
เมื่อ.....รู้แจ้ง......จัก
ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในกาลใด
ท่านไม่มี ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งส
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตร
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลา
เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอ
ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้
**************************
พาหิยสูตร
[๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่าง
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษ
ก็สมัยนั้นแล
กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ
เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือบูชา ยำเกรง
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัช
ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู
เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่าง
ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึ
ลำดับนั้นแลเทวดาผู้เป็นสาย
เป็นผู้อนุเคราะห์ หวังประโยชน์
ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจขอ
แล้วเข้าไปหาพาหิยทารุจีริย
ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์
หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรร
ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เ
หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัต
พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น
บัดนี้ใครเล่าเป็นพระอรหันต
หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคใน
เทวดาตอบว่า
ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาส
ประทับอยู่ในพระนครนั้น
ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแ
เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน
ทั้งทรงแสดงธรรมเพื่อความเป
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดา
หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใ
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภา
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษ
โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่ง
[๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ใน
พาหิยทารุจีริยะเข้าไปหาภิก
ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่าน
ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาส
ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้า
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาส
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ
พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปส
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจ
เข้าไปยังพระนครสาวัตถี
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลัง
ในพระนครสาวัตถี
น่าเลื่อมใส
ควรเลื่อมใส
มีอินทรีย์สงบ
มีพระทัยสงบ
ถึงความฝึกและความสงบอันสูง
มีตนอันฝึกแล้ว
คุ้มครองแล้ว
มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
ผู้ประเสริฐ แล้ว
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภา
หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสด
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์
สิ้นกาลนานเถิด ฯ
[๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทู
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าดู
เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน
เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ
***แม้ครั้งที่ ๒***
พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทู
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชี
รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระ
โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระอง
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิ
แม้ครั้งที่ ๒...
***แม้ครั้งที่ ๓***
พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทู
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชี
รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสด
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ
เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
...เมื่อเห็น ...จักเป็น..สักว่า..เห็น
...เมื่อฟัง .....จักเป็น..สักว่า..ฟัง
...เมื่อทราบ ..จักเป็น..สักว่า..ทราบ
...เมื่อรู้แจ้ง ...จักเป็น..สักว่า..รู้แจ้
ดูกรพาหิยะ
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรพาหิยะ
ในกาลใดแล
เมื่อท่าน...เห็น..จักเป็น.
เมื่อ.........ฟัง......จัก
เมื่อ......ทราบ.....จักเป็
เมื่อ.....รู้แจ้ง......จัก
ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในกาลใด
ท่านไม่มี ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งส
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตร
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลา
เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอ
ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้
ของพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิย
ด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว
เสด็จหลีกไป ฯ
[๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหล
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจ
ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเท
เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาป
เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภ
ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุ
จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสร
แล้ว จงนำไปเผาเสีย
แล้วจงทำสถูปไว้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรม
ทำกาละแล้ว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้
ช่วยกันยกสรีระของพระพาหิยท
แล้วนำไปเผา และทำสถูป
ไว้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพ
ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มี
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะน
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้
คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเ
ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิตป
ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก
เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ ปรินิพพานแล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อ
ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลาน
ดิน.. น้ำ.. ไฟ และ...ลม
ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพาน
ธาตุใดในนิพพานธาตุ นั้น
ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง
พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ
พระจันทร์ ย่อมไม่สว่าง
ความมืดย่อมไม่มี
ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็
เพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้วด้วยตน เมื่อนั้น
พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจาก
รูปและ อรูป
จากสุขและทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบโพธิวรรคที่ ๑
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติ
หน้าที่ ๕๗/๔๑๘ ข้อที่ ๔๖-๔๗
**************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…#
**************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น