วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พาหิยะ!..บรรลุอรหันต์..ด้วยธรรมเทศนาโดยย่อ


****พาหิยะ!..บรรลุอรหันต์..ด้วยธรรมเทศนาโดยย่อ..***
***************************************
ดูกรพาหิยะ 
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล 
ดูกรพาหิยะ 
ในกาลใดแล
เมื่อท่าน...เห็น..จักเป็น....สักว่า..เห็น
เมื่อ.........ฟัง......จักเป็น..สักว่า..ฟัง
เมื่อ......ทราบ.....จักเป็น..สักว่า...ทราบ
เมื่อ.....รู้แจ้ง......จักเป็น..สักว่า...รู้แจ้ง

ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในกาลใด
ท่านไม่มี ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตร
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลา
เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอ
ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้
*****************************************
พาหิยสูตร
[๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล
กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะอาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร
เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือบูชา ยำเกรง
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ
เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่าเราเป็นคนหนึ่ง
ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลก
ลำดับนั้นแลเทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ
เป็นผู้อนุเคราะห์ หวังประโยชน์
ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ
แล้วเข้าไปหาพาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า

ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์
หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน
ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์
หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค

พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น
บัดนี้ใครเล่าเป็นพระอรหันต
หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก
เทวดาตอบว่า
ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประทับอยู่ในพระนครนั้น
ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแ
เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน
ทั้งทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดานั้นให้สลดใจแล้ว
หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใด นั้นเอง
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี
โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ

[๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง
พาหิยทารุจีริยะเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่
ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า
ข้าแต่ท่านทั้งหลายผู้เจริญ
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้า
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ

พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน
เข้าไปยังพระนครสาวัตถี
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ในพระนครสาวัตถี
น่าเลื่อมใส
ควรเลื่อมใส
มีอินทรีย์สงบ
มีพระทัยสงบ
ถึงความฝึกและความสงบอันสูงสุด
มีตนอันฝึกแล้ว
คุ้มครองแล้ว
มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
ผู้ประเสริฐ แล้ว

ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภา
หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์
สิ้นกาลนานเถิด ฯ

[๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าดูกรพาหิยะ
เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน
เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตอยู่

***แม้ครั้งที่ ๒***
พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี
รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาค
โปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
ที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด ฯ
แม้ครั้งที่ ๒...

***แม้ครั้งที่ ๓***
พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี
รู้ได้ยากแล
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรม
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ
เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

...เมื่อเห็น ...จักเป็น..สักว่า..เห็น
...เมื่อฟัง .....จักเป็น..สักว่า..ฟัง
...เมื่อทราบ ..จักเป็น..สักว่า..ทราบ
...เมื่อรู้แจ้ง ...จักเป็น..สักว่า..รู้แจ้

ดูกรพาหิยะ
ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรพาหิยะ
ในกาลใดแล
เมื่อท่าน...เห็น..จักเป็น....สักว่า..เห็น
เมื่อ.........ฟัง......จักเป็น..สักว่า..ฟัง
เมื่อ......ทราบ.....จักเป็น..สักว่า...ทราบ
เมื่อ.....รู้แจ้ง......จักเป็น..สักว่า...รู้แจ้ง

ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในกาลใด
ท่านไม่มี ในกาลนั้น
ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตร
หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลา
เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอ
ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้
ของพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตร
ด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว
เสด็จหลีกไป ฯ

[๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต
ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี
เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต
เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก
ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว

จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียง
แล้ว จงนำไปเผาเสีย
แล้วจงทำสถูปไว้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย
ทำกาละแล้ว

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
ช่วยกันยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง
แล้วนำไปเผา และทำสถูป

ไว้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สรีระของพาหิยทารุจีริยะ
ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้

คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร
ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิตปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก
เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ ปรินิพพานแล้ว ฯ

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว
ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ดิน.. น้ำ.. ไฟ และ...ลม
ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพาน
ธาตุใดในนิพพานธาตุ นั้น
ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง
พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ
พระจันทร์ ย่อมไม่สว่าง
ความมืดย่อมไม่มี

ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้วด้วยตน เมื่อนั้น
พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจาก
รูปและ อรูป
จากสุขและทุกข์ ฯ

จบสูตรที่ ๑๐
จบโพธิวรรคที่ ๑
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
หน้าที่ ๕๗/๔๑๘ ข้อที่ ๔๖-๔๗
******************************
อ่านพุทธวจน เพิ่มเติม ได้จาก โปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…#
******************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น