วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
พระอาจารย์คึกฤทธิ์-สนทนาธรรมเช้าวันเสาร์_หลังฉัน 2_2015-06-27
#โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ : สัมมัปธาน ๔ อย่างพิศดาร..อนุโมทนา สาธุๆๆ กับผู้ถาม คุณ นิติ คะ https://www.youtube.com/watch?v=l54dN7eXc3E
สัมมัปธาน ๔
สติปัฏฐาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕ พละ ๕
โภชงค์ ๗
มรรคมีองค์ ๘
------------
สัมมัปธาน ๔
คือ การมุ่งมั่นทำความชอบ มี ๔ ประการ
๑.สังวรปทาน คือ เพียรระงับการกระทำอกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น
๒.ปหานปทาน คือ เพียรละเลิกอกุศลที่กำลังกระทำอยู่
๓.อนุรักขปทาน คือ เพียรรักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว
๔.ภาวนาปทาน คือ เพียรฝึกฝนบำรุงกุศลธรรม ให้เจริญยิ่งขึ้น
---------------
#กองกุศล และ #กองอกุศล ที่แท้จริง
-----
#สติปัฏฐานสี่ #กองกุศลที่แท้จริง
[๖๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔
เพราะว่ากองกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
...
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔
เพราะว่ากองกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ สติปัฏฐาน.
--------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
---------------------------------
#นิวรณ์๕ #กองอกุศลที่แท้จริง
#นิวรณ์๕ #ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
ภิกษุทั้งหลาย !
นิวรณ์เป็นเครื่องกางกั้น 5 อย่างเหล่านี้ ท่วมทับจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง มีอยู่
5 อย่าง อย่างไรเล่า ? 5 อย่าง คือ
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ กามฉันทะ
ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ พยาบาท
ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ ถีนมิทธะ ( ง่วงเหงาซึมเซา )
ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ อุทธัจจกุกกุจจะ ( ฟุ้งซ่านรำคาญ )
ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
นิวรณ์เครื่องกางกั้น คือ วิจิกิจฉา ( ลังเลสงสัย )
ครอบงำจิตแล้ว ทำปัญญาให้ถอยกำลัง
-----------------------------------
ภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์อันเป็นเครื่องกางกั้นจิต 5 อย่างเหล่านี้แล้ว
จักรู้ซึ่งประโยชน์ตน
หรือประโยชน์ผู้อื่น
หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หรือจักกระทำให้แจ้ง
ซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษอันควรแก่ความเป็นอริยะ
ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์
ด้วยปัญญาอันทุพพลภาพ ไร้กำลัง ดังนี้
นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ภิกษุทั้งหลาย !
เปรียบเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากภูเขา
ไหลไปสู่ที่ไกล มีกระแสเชี่ยว
พัดพาสิ่งต่างๆ ไปได้
มีบุรุษมาเปิดช่องทั้งหลายที่เขาขุดขึ้น
ด้วยเครื่องไถ ทั้งสองฝั่งแม่น้ำนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ กระแสกลางแม่น้ำนั้น
ก็ซัดส่าย ไหลผิดทาง
ไม่ไหลไปสู่ที่ไกล
ไม่มีกระแสเชี่ยว
ไม่พัดสิ่งต่างๆ ไปได้ นี้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ภิกษุที่ไม่ละนิวรณ์อันเป็นเครื่องกางกั้นจิต 5 อย่างเหล่านี้แล้ว
จักรู้ซึ่งประโยชน์ตน
หรือประโยชน์ผู้อื่น
หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
หรือจักกระทำให้แจ้ง
ซึ่งญาณทัสสนะอันวิเศษอันควรแก่ความเป็นอริยะ
ยิ่งกว่าธรรมดาแห่งมนุษย์
ด้วยปัญญาอันทุพพลภาพไร้กำลัง ดังนี้
นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ต่อไปได้ตรัสโดยปฏิปักขนัย (นัยตรงข้าม)
คือ ภิกษุละนิวรณ์แล้ว
ทำญาณวิเศษให้แจ้งได้ ด้วยปัญญา
อันมีกำลังเหมือนแม่น้ำที่เขาอุดรูรั่ว
ทั้งสองฝั่งเสียแล้วมีกระแสเชี่ยวแรงมาก ฉะนั้น
-------------------------------
- อาวรณสูตร ปญฺจก. อํ. 22/72/51.
-----------
#นิวรณ์ ๕ กองอุกศล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล
จะกล่าวให้ถูก ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕
เพราะว่ากองอกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่นิวรณ์ ๕
นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน? คือ
...
กามฉันทนิวรณ์ ๑
พยาบาทนิวรณ์ ๑
ถีนมิทธนิวรณ์ ๑
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑
วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เหล่านี้
เพราะกองอกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ นิวรณ์ ๕.
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย narutogetbird เมื่อ 2013-11-23 00:28
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล
จะกล่าวให้ถูก ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕
เพราะว่ากองอกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่นิวรณ์ ๕
นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน? คือ
...
กามฉันทนิวรณ์ ๑
พยาบาทนิวรณ์ ๑
ถีนมิทธนิวรณ์ ๑
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑
วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เหล่านี้
เพราะกองอกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ นิวรณ์ ๕.
...
[๖๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔
เพราะว่ากองกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?
...
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อจะกล่าวว่ากองกุศล จะกล่าวให้ถูก
ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐาน ๔
เพราะว่ากองกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ สติปัฏฐาน.
--------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
-------------
#อุปมานิวรณ์
[๑๒๖] ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือน
#บุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน
การงานของเขาจะพึงสำเร็จผล
เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น
และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขาจะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา
เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้
การงานของเราสำเร็จผลแล้ว
เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว
และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้
เขาจะพึงได้
#ความปราโมทย์ #ถึงความโสมนัส
มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็น
#ผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก
บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย
สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น
บริโภคอาหารได้ และมีกำลังกาย
เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก
บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้
เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้
และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้
เขาจะพึงได้
#ความปราโมทย์ #ถึงความโสมนัส
มีความไม่มีโรคนั้น เป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึง
#ถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา
เขาพึงพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย
ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้
เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว
และเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้
เขาจะพึงได้
#ความปราโมทย์ #ถึงความโสมนัส
มีการพ้นจากเรือนจำ นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะ
#พึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน
ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา
เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น
พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น
#เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ
เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเราเป็นทาส
พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น
ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้
เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง
ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว
ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้
เขาจะพึงได้
#ความปราโมทย์ #ถึงความโสมนัส
มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษ
#มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ #พึงเดินทางไกลกันดาร
หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า
สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้
บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี
เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า
เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติ
เดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก
มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้น
บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้
เขาจะ
#พึงได้ความปราโมทย์ #ถึงความโสมนัส
มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการเหล่านี้
#ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้
#เหมือนโรค
#เหมือนเรือนจำ
#เหมือนความเป็นทาส
#เหมือนทางไกลกันดาร
และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ ประการที่ละได้แล้วในตน
#เหมือนความไม่มีหนี้
#เหมือนความไม่มีโรค
#เหมือนการพ้นจากเรือนจำ
เหมือนความเป็นไทยแก่ตน
เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.
-------------------------
#รูปฌาน ๔
[๑๒๗] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้
ที่ละได้แล้วในตน
ย่อมเกิดปราโมทย์
เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ
เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น.
เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เธอทำกายนี้แหละให้
**ชุ่มชื่น**เอิบอิ่ม**ซาบซ่าน**ด้วยปีติและสุข**เกิดแต่วิเวก
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือน
**พนักงานสรงสนาน
**หรือลูกมือพนักงานสรงสนานผู้ฉลาด
**จะพึงใส่จุรณ์สีตัวลงในภาชนะสำริด
**แล้วพรมด้วยน้ำ
หมักไว้
ตกเวลาเย็นก้อนจุรณ์สีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด
ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล
ทำกายนี้แหละให้
**ชุ่มชื่น**เอิบอิ่ม**ซาบซ่านด้วย**ปีติ**และ**สุข**เกิดแต่วิเวก
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละ
**สามัญผลที่เห็นประจักษ์ **ทั้งดียิ่งกว่า
ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
[๑๒๘] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง
ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิต
ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข
เกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ
ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือน
ห้วงน้ำลึกมีน้ำปั่นป่วน
ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้
ทั้งในด้านตะวันออก
ด้านใต้
ด้านตะวันตก
ด้านเหนือ
ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล
แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้นแล้ว
จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น
ไม่มีเอกเทศไหนๆ
แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด
ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล
ย่อมทำกายนี้แหละ
ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ
ทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละ**สามัญผลที่เห็นประจักษ์**
ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
[๑๒๙] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง
ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน
ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขอันปราศจากปีติ
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร
เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง
หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง
หรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ
เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตลอดยอด
ตลอดเง่า ไม่มีเอกเทศไหนๆ
แห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว
ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล
ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละ
สามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า
ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
[๑๓๐] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ
ทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่ง
คลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ
แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแล
เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว
ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง
ดูกรมหาบพิตร
นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า
ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
------
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
หน้าที่ ๖๘/๓๘๓ ข้อที่ ๑๒๔-๑๒๖
--------------
อ่่านพุทธวจน เพิ่มเติมได้จากโปรแกรม E-Tipitaka
http://etipitaka.com/read…
--------------
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น