วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สนทนาธรรมหลังฉันท์เช้าวันอังคารที่ 21 กรกฏาคม 2558



หลังฉันวัดนาป่าพง วันนี้.. วันที่ 21 ก.ค.58

‪#พระอรหันต์ เรียกภิกขุทั้งหลายว่า คนถ่อย

(หมดกิเลสแล้ว แต่เหตุปัจจัย ก็คือ ของเก่าติดมานานละไม่ได้)‬

#ลักษณะของคนถ่อย

https://www.youtube.com/watch?v=152V6hrSJbI

๖. ปิลินทวัจฉสูตร

[๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่

ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน

ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล

ท่านพระปิลินทวัจฉะ

ย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย

ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกัน เข้าไปเฝ้า

พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิลินทวัจฉะ

ย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส

เรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุ

เธอจงไปเรียกปิลินทวัจฉภิกษุ

มาตามคำของเราว่าดูกรอาวุโสวัจฉะ

พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน

ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

เข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะถึงที่อยู่

ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านปิลินทวัจฉะว่า

ดูกรอาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน

ท่านพระปิลินทวัจฉะรับคำภิกษุนั้นแล้ว

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระปิลินทวัจฉะว่า

ดูกรปิลินทวัจฉะได้ยินว่าเธอย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลาย

ด้วยวาทะว่าคนถ่อยจริงหรือ

ท่านพระปิลินทวัจฉะ

ทูลรับว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

-

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการ

ถึงขันธ์อันมีในก่อนของท่านพระปิลินทวัจฉะ

แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เธอทั้งหลายอย่ายกโทษวัจฉภิกษุเลย

วัจฉภิกษุย่อมไม่มุ่งโทษ

เรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่า คนถ่อย

วัจฉภิกษุเกิดในสกุลพราหมณ์ ๕๐๐ ชาติ

โดยไม่เจือปนเลย

วาทะว่าคนถ่อยนั้น

วัจฉภิกษุประพฤติมานาน

เพราะเหตุนั้น วัจฉภิกษุนี้ย่อมร้องเรียก

ภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย ฯ

-

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว

ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

-

มายา มานะ

ย่อมไม่เป็นไปในผู้ใด

ผู้ใดมีความโลภสิ้นไปแล้ว

ไม่มีความยึดถือว่าเป็นของเรา

ไม่มีความหวัง

บรรเทาความโกรธได้แล้ว

มีจิตเย็นแล้ว

ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพราหมณ์

ผู้นั้นชื่อว่าเป็นสมณะ

ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ ฯ

จบสูตรที่ ๖

-

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๒๒๗๘ - ๒๓๐๖.

หน้าที่ ๙๙ - ๑๐๐.

--

‪#‎ลักษณะของคนถ่อย‬

[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน

อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี

ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า

พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว

ทรงถือบาตรและจีวร

เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี

ก็สมัยนั้นแล

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้ว

ตกแต่งของที่ควรบูชา

อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล

พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาต

ตามลำดับตรอกในพระนครสาวัตถี

เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็น

พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว

ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

-----

"หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น

หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ

หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ"

เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า

-------

"ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย

หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยหรือ ฯ"

------

อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อย

หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยดีละ

ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรม

ตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคนถ่อย

หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด ฯ

------

พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น

ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

-----

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาประพันธ์นี้ว่า

------

[๓๐๖]

๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว

มีทิฐิวิบัติ และมีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว

แม้หรือเกิดสองหนไม่มี

ความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น

มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้านและชาว

นิคม พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้

ในบ้านหรือในป่า

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า

หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนีไปเสีย

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ

เพราะอยากได้สิ่งของ

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ

เพราะเหตุแห่งตนก็ดี

เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี

เพราะเหตุแห่งทรัพย์ก็ดี

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาขอ

งญาติก็ตาม ของเพื่อนก็ตาม

ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดา

ผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาว

ไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว

พ่อตาแม่ยายแม่ผัวหรือ

พ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์

บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์พูดกลบ

เกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา

ปกปิดไว้

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว

และบริโภคโภชนะที่สะอาดย่อมไม่ตอบ

แทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์

หรือแม้วณิพกอื่น ด้วยมุสาวาท

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร

คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์และไม่ให้

โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว

ปรารถนาของเล็กน้อย

พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น

ด้วยมานะของตน

พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก

มีความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย

ไม่สะดุ้งกลัวพึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า

หรือติเตียนบรรพชิต หรือคฤหัสถ์สาวก

ของพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์

แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้น

แลเป็นคนถ่อยต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก

คนเหล่าใด

------

เราประกาศแก่ท่านแล้วคนเหล่านั้นนั่นแล

เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย ฯ

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ

ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ

แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม

เป็นพราหมณ์เพราะกรรม

-----

ท่านจงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้

บุตรของคนจัณฑาลเลี้ยงตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่าตังมาคะ

เป็นคนกินของที่ตนให้สุกเอง

เขาได้ยศอย่างสูงที่ได้แสนยาก

กษัตริย์และพราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา

เขาขึ้นยานอันประเสริฐ

ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น

เขาสำรอกกามราคะเสียได้แล้ว

เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

ชาติไม่ได้ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก

พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยายมนต์ เป็นพวกร่ายมนต์

แต่พวกเขาปรากฏในบาปกรรมอยู่เนืองๆ

พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว

และภพหน้าก็เป็นทุคติ

ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติ

หรือจากครหาไม่ได้

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ

ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ

แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม

เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ฯ

------

[๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

พระองค์ทรงประกาศธรรม

โดยอเนกปริยาย

เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ

เปิดของที่ปิด

บอกทางแก่คนหลงทาง

หรือตามประทีปไว้ในที่มืด

ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น

------

ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรม

และพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ

ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า

เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

---

จบวสลสูตรที่ ๗

-----

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-

อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต หน้าที่ ๒๗๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น